ป.ป.ช.ฟันอดีตหัวหน้าคลังข้าว จ.สุรินทร์ รวยผิดปกติ 41.3 ล้าน

ป.ป.ช.ฟันอดีตหัวหน้าคลังข้าว จ.สุรินทร์ รวยผิดปกติ 41.3 ล้าน

ป.ป.ช.ชี้มูลผิด 'อดีตหัวหน้าคลังสินค้า' รับฝากข้าวเปลือก จ.สุรินทร์ รวยผิดปกติกว่า 41.3 ล้านบาท พบผู้เกี่ยวข้องโรงสีมาฝากด้วย ชงศาลยึดทรัพย์ ให้ตกเป็นของแผ่นดิน

KEY

POINTS

  • คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายอนุพงศ์ ครองคุ้ม อดีตหัวหน้าคลังสินค้าข้าว จ.สุรินทร์ ว่าร่ำรวยผิดปกติ
  • พบทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติเป็นเงินฝากในบัญชีธนาคารหลายแห่ง รวมมูลค่าทั้งสิ้น 41.3 ล้านบาท ซึ่งไม่สามารถชี้แจงที่มาได้
  • ป.ป.ช. ได้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลฯ เพื่อขอให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน และแจ้งผู้บังคับบัญชาให้สั่งลงโทษไล่ออก

เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2568 นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายอนุพงศ์ ครองคุ้ม พนักงานธุรการ 5 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งหัวหน้าคลังสินค้ากลางรับฝากข้าวเปลือก จังหวัดสุรินทร์ สังกัดองค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน

คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณารายงานการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีมีการกล่าวหานายอนุพงศ์ ครองคุ้ม พนักงานธุรการ 5 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งหัวหน้าคลังสินค้ากลางรับฝากข้าวเปลือก จังหวัดสุรินทร์ สังกัดองค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์ ว่าร่ำรวยผิดปกติ พบรายการฝากเงินสดเข้าบัญชีเงินฝากธนาคาร ของนายอนุพงศ์ ครองคุ้ม และผู้ที่เกี่ยวข้อง จำนวนหลายบัญชี เกินกว่าฐานะและรายได้ บางรายการพบว่า เป็นการฝากโดยผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงสีข้าว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 41,370,084.88 บาท จากรายละเอียด รายการทรัพย์สิน ดังนี้

1. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาเทสโก้โลตัส สุรินทร์ จำนวน 80 รายการ จำนวน 25,536,963 บาท
2. ธนาคารออมสิน สาขาสังขะ จำนวน 4 รายการ จำนวน 2,878,000 บาท
3. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขามหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ จำนวน 2 รายการ จำนวน 7,000,000 บาท
4. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสุรินทร์ จำนวน 2 รายการ จำนวน 1,355,000 บาท
5. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสุรินทร์พลาซ่า จำนวน 1 รายการ จำนวน 300,000 บาท
6. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนหลักเมือง จำนวน 1 รายการ จำนวน 2,430,000 บาท 
7. เงินสดที่นำไปชำระหนี้ จำนวนเงิน 1,870,121.88 บาท

คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติชี้มูลความผิดนายอนุพงศ์ ครองคุ้ม ว่าร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่

ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน และแจ้งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกภายในหกสิบวัน โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ต่อไป 

หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินเหล่านั้นที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ ภายในระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ด้วย ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ส่งสำนวน การไต่สวน พร้อมเอกสารหลักฐานให้สำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว