‘รัฐพันลึก’ บีบ ‘ชินวัตร’ วางมือ หมดโปรฯ พท.ตั๋วใบใหม่ ‘ภูมิใจไทย’

ตระกูลชินวัตร กำลังถูกตั้งคำถามถึงบทบาททางการเมืองในการกำกับ “พรรคเพื่อไทย” นับจากนี้ หลังพรรคภูมิใจไทย ได้มาซึ่งอำนาจรัฐภายใต้เงื่อนไขรัฐบาลเสียงข้างน้อย
KEY
POINTS
- สัญญาณ "รัฐพันลึก" กดดันตระกูลชินวัตร ยุติบทบาททางการเมือง ส่งผลให้ "ทักษิณ" เดินทางออกนอกประเทศ เพื่อตัดอำนาจควบคุมพรรคในระหว่างชิงจัดตั้งรัฐบาล
- พรรคเพื่อไทยสิ้นสุดการถือครอง"ใบอนุญาต" ในการเป็นแกนนำรัฐบาลจาก "รัฐพันลึก" ทำให้พรรค และ "ทักษิณ" ตกอยู่ในสถานะที่อ่อนแอลง
- พรรคภูมิใจไทยได้รับ "ตั๋วใบใหม่" ให้ขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน โดยมี "อนุทิน ชาญวีรกูล" เป็นนายกฯ คนที่ 32 ภายใต้ข้อครหาดีลลับกับพรรคประชาชน
- การเลือกตั้งครั้งใหม่ ตระกูลชินวัตร กำลังถูกมองถึงการถอยห่างจากการเมืองภายใต้การกำกับ "พรรคเพื่อไทย" ยังไม่นับปัจจัย สส.ที่อาจลดน้อยลงไม่ถึงหลักร้อย
“เพื่อไทย” กลายเป็นพรรคการเมืองที่บอบช้ำหนักที่สุดในเวลานี้ จากพรรคที่เคยโดดเด่นด้านเศรษฐกิจ สร้างผลงานที่จับต้องได้เป็นรูปธรรม ต่อยอดจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน มาถึงพรรคเพื่อไทย สร้างนายกรัฐมนตรีมากถึง 6 คน แต่ต้องปิดฉากการเมืองด้วยคดีที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาถึง 5 คน ถูกรัฐประหาร 2 คน
ตระกูลชินวัตร เพิ่งสูญเสียนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 อย่าง “แพทองธาร ชินวัตร” ในข้อกล่าวหาฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง กรณีคลิปเสียง จนกระทบดีลจัดตั้งรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
องคาพยพ “รัฐพันลึก” ยังสกัดกั้นไพ่ในมือของพรรคเพื่อไทยคือ “ยุบสภา” ไม่ให้ผ่าทางตัน เพื่อกุมความได้เปรียบในอำนาจรัฐ พร้อมทั้งขวางไม่ให้ผลักดัน “ชัยเกษม นิติสิริ” เป็นนายกฯ คนใหม่
เกมบีบทั้งหมด สะท้อนได้ว่าสรรพกำลังของ “ผู้นำจิตวิญญาณแห่งเพื่อไทย” อ่อนกำลังลงไปอย่างมากในชั่วโมงนี้ หลังสัญญาณพิเศษ หรือใบอนุญาตจัดตั้งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยหมดวีซ่า ไม่ได้ไปต่อในวันที่ 29 ส.ค.2568 และวันที่ 5 ก.ย.2568
เกมพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาลก๊กน้ำเงิน เข้าตำรา “เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด” ไม่ต่างจากวาทะ “จบแล้วครับนาย” ในอดีตที่ “เนวิน ชิดชอบ” เคยนำ สส. ยกพวกออกจากพรรคพลังประชาชน เมื่อปี 2551
พรรคภูมิใจไทย กลายเป็นพรรคการเมืองที่รับ “ตั๋วอนุญาต” ใบใหม่ต่อจากพรรคเพื่อไทย ถือธงนำปีกอนุรักษนิยม รวมทั้งทำสัญญาดีลลับกับ “ก๊กส้ม” เพื่อแลกกับการแก้รัฐธรรมนูญ ฉบับที่แก้ไขได้ยากที่สุด
“อนุทิน ชาญวีรกูล” ผงาดขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ด้วยมติสภาฯ 311 เสียงอย่างท่วมท้น ทั้งยังได้เสียง สส.ค่ายแดง โหวตหนุน 9 เสียง รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลเดิมอีก เป็นผลจากการเดินเกมแรง และเร็วของค่ายน้ำเงิน เสมือนวางพล็อตเรื่องพลิกขั้วตั้งรัฐบาลค่ายน้ำเงินไว้ล่วงหน้า
ถอดรหัสคืนวันโหวตนายกฯ คนที่ 32 เพียงวันเดียว ทักษิณ ชินวัตร “นายใหญ่” แห่งค่ายแดง ตัดสินใจบินออกนอกประเทศ
การข่าวจากค่ายแดง ระบุว่า "นายใหญ่"ได้รับสัญญาณ ให้นำครอบครัวชินวัตร บินออกนอกประเทศไปก่อน เพื่อไม่ให้เล่นบทควบคุมทิศทาง ทางการเมือง เดินเกมสู้ชิงตั้งรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ขั้วอนุรักษนิยมกุมแต้มต่อ จัดวาง “อนุทิน ชาญวีรกูล” ขึ้นสู่จุดสูงสุดทางการเมืองของประเทศไว้พร้อมแล้ว ซึ่งนาทีนั้น ก็เป็นที่กล่าวขานว่า “อนุทิน” น่าจะมีตั๋วอนุญาตใบใหม่
ดังนั้น เงื่อนไขเดินทางออกนอกประเทศครั้งนี้ จึงเท่ากับตัดกำลังคนชินวัตร ไม่ให้กำกับทิศทางพรรคเพื่อไทยหลังจากนี้
แม้ทักษิณจะยืนยันว่า จะกลับมาฟังคำสั่งศาล คดีชั้น 14 ในวันที่ 9 ก.ย.68 เหมือนส่งสัญญาณพร้อมกลับมาสู้ต่อ แต่กระแสสังคมได้ฟันธงไปแล้วว่า เกมนี้ “ทักษิณ” แพ้แล้ว
โอกาสที่อนุรักษนิยม ให้ทักษิณมาหลายเรื่อง แลกกับการสกัดก๊กส้ม แต่กลับล้มเหลว และยังสะดุดขาตัวเอง หากไล่เลียงฉากทัศน์ที่ผ่านมา จะเห็นภาพชัดว่า
ตั๋วใบอนุญาต แรก ซึ่ง “รัฐพันลึก” มอบให้ “ทักษิณ” เดินทางกลับมาไทย จากการดีลลับ โดยได้รับพระราชทานอภัยลดโทษให้เหลือโทษจำคุก 1 ปี เมื่อ 1 ก.ย.2566 มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้รับสนองฯ ทำให้อดีตนายกฯ ไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำแม้แต่วันเดียว แต่ให้ไปพักรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ แทน จนได้รับปล่อยตัวในเมื่อต้นปี 2567
ตั๋วใบอนุญาตนี้ ให้อำนาจ “เพื่อไทย” ถือครองได้เพียงวันที่ 22 ส.ค. 2566 จนถึง 5 ก.ย.2568 ด้วยบริบทการเมืองเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ชนชั้นนำ และผู้กำกับรัฐพันลึก ไม่ต้องการเลือกใช้นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยภายใต้การครอบงำของคน “ชินวัตร” เป็นตัวแทนของปีกอนุรักษนิยม
คดีชั้น 14 ที่กำลังรอลุ้นว่าศาลฎีกาฯ จะมีคำสั่งออกมาอย่างไร จึงเป็นที่จับตาซึ่งมีทั้งได้ไปต่อ และถูกคุมขังต่อสำหรับนายใหญ่แห่งเพื่อไทย
“พรรคภูมิใจไทย” เข้ามาแทนที่ “เพื่อไทย” โดยรับใบอนุญาตให้เป็นหัวขบวนปีกอนุรักษนิยม ภายใต้ดีลลับกับ “ก๊กสีส้ม” ให้โหวตเป็นนายกฯ คนที่ 32 และต้องยุบสภาฯในเวลา 4 เดือนนับจากวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ท่ามกลางความไม่แน่นอนว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสำเร็จในมือภูมิใจไทยหรือไม่ ทั้งที่ สว.ส่วนใหญ่เป็นของเครือข่ายก๊กน้ำเงิน คุมทิศทางชี้เป็นชี้ตายไม่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญได้โดยง่าย
เมื่อเข้าสู่ยุครัฐบาลภูมิใจไทย จึงถูกจับตาว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ “คนตระกูลชินวัตร” จะเลิกเล่นการเมือง โดยทักษิณ ถอยฉากไปเป็นเพียงผู้นำจิตวิญญาณ หรือนายทุนของพรรคเท่านั้น โดยปล่อยให้พรรคเป็นสถาบันทางการเมือง มีอิสระปลอดจากเจ้าของพรรค หรือระบบกงสี ให้ควบคุมกันเองในหมู่สมาชิกพรรค เหมือนเช่นพรรคเก่าแก่บางพรรค
แหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทย ประเมินฉากทัศน์อนาคตของค่ายแดงว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า แน่นอนว่าเพื่อไทยอาจเป็นพรรคที่ได้ สส.ต่ำกว่า 100 เสียง เลวร้ายที่สุดคือ ได้ไม่เกิน 50 ที่นั่ง เป็นเพราะผลพวงที่เกิดจากการบริหารดำเนินนโยบายและอ่านเกมที่ผิดพลาดของคนรอบตัวนายใหญ่ และนายน้อย จนส่งผลถึง สส.และอดีต สส.ที่แสดงออกผ่านการตีจากพรรคเพื่อไทย เพราะไม่ได้รับการเหลียวแลในพรรค
สำหรับ “แบรนด์ชินวัตร” อาจถูกมองว่าใช้ได้ยากแล้ว ในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า ด้วยสภาพที่บอบช้ำจากกระแสต้านพรรคเพื่อไทย จากเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่เคยขึ้นชื่อ และครองใจประชาชนด้วยภาพจำนโยบายประชานิยม กำลังเสื่อมความนิยมลง และถูกข้อกล่าวหาผู้นำพรรคมีคุณสมบัติฝ่าฝืนจริยธรรม
ยังไม่นับปัจจัยก่อนหน้านี้ จากการใช้ดีลลับไฟเขียว “นายใหญ่” ได้กลับบ้าน ผลจากการจับมือจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว กลายเป็นตราบาปจนฐานเสียงแดงก้าวหน้ารับไม่ได้ จนหันไปเทคะแนนให้กับพรรคส้ม
ไซส์ของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า ยังถูกทำนายจากคนใน และนอกเพื่อไทย ว่า อาจเป็นพรรคขนาดกลางไม่ถึงกับเป็นพรรคขนาดใหญ่
นอกจากนี้ ยังมีการประเมินฉากทัศน์ หลังนายกฯ อนุทินยุบสภาฯ แม้อำนาจรัฐจะยังอยู่ภายในมือของพรรคภูมิใจไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่า สส.พรรคเพื่อไทย จะแตกรังออกไปอยู่กับพรรครัฐบาลขั้วน้ำเงิน
โดยมีการประเมินว่าจะออกไปราว 20-30 คน ส่วนใหญ่เป็น สส.ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคเหนือตามลำดับ ทำให้พรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคที่ไม่ได้ สส.หลักร้อยเหมือนในอดีต สถานะพรรคไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต
ส่วนฉากทัศน์ก่อนยุบสภาฯ พรรคเพื่อไทย จะต้องเดินเกมสู้ในบทบาทใหม่คือ ฝ่ายค้าน โดยใช้เสียง สส.ในมือที่มีอยู่ 131 เสียง หักลบ สส.ค่ายแดงงูเห่าไปแล้ว 9 คน เพื่อเรียกความนิยมกลับมาอีกครั้ง อีกทั้งยังต้องชิงนำบทบาทในเวทีฝ่ายค้านกับพรรคประชาชน ภายใต้บริบทการเมืองสามก๊กคนสามสี
“วิสุทธิ์ ไชยณรุณ” - “ชลน่าน ศรีแก้ว” - “สุทิน คลังแสง” - “จาตุรนต์ ฉายแสง” จะถูกวางบทบาทเป็นทัพหน้าฝ่ายค้านของเพื่อไทย สอดประสาน สส.คนรุ่นใหม่ คนรุ่นเก่า และคนรุ่นเก๋า ขับเคลื่อนตรวจสอบรัฐบาลอนุทิน
คนในพรรคเพื่อไทย ยังเรียกร้องให้คีย์แมนของพรรคเดิน เกมเข้าชื่อ สส. 1 ใน 5 ของ สส.ทั้งหมดที่มีอยู่ในสภา ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ อนุทินโดยทันที ก่อนสิ้นสมัยประชุมรัฐสภาในวันที่ 30 ต.ค.นี้
โดยยื่นข้อกล่าวหาคดีเขากระโดงและคดีฮั้ว สว. เพื่อบีบ และเปิดเผยให้ “พรรคประชาชน” ลงมติไว้วางใจให้กับ “อนุทิน” แม้ท้ายที่สุดนายกฯ หนูจะได้รับเสียงไว้วางใจก็ตาม
ส่วน ตระกูลชินวัตร จะยังยืนแถวหน้าในระหว่างหาเสียงให้กับเพื่อไทยหรือไม่นั้น อาจทำได้ยากภายใต้บริบทที่กระแสความนิยมในภาคอีสานตามแถบชายแดน และคนเมืองคัดค้านอย่างหนัก โจทย์นี้คงไม่ใช่ทางเลือกทางรอดของพรรคเพื่อไทย
สูตรเลือกใช้กลุ่มทุนหรือให้คนชินวัตร อยู่เบื้องหลังไม่ยุ่งกับการเมืองเหมือนที่ผ่านมา อาจเป็นแนวทางที่เป็นได้มากที่สุด
ตัวแปรสำคัญของพรรคที่ต้องจับตาคือ ถ้ากลุ่มทุนปัจจุบันทั้งทุนเดอะซัน และทุนบีทีเอส ยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย ก็จะทำให้พรรคเพื่อไทยรักษา และตรึง สส.ได้ในพื้นที่ที่แข็งแรง และเป็นพื้นที่ท้องถิ่นนิยมของพรรคต่อไปได้ ขณะที่ พื้นที่ไม่แข็งแรง สส.ค่ายแดงมีโอกาสสอบตกสูง
ฉากทัศน์การเมืองค่ายแดงจับตา “กลุ่ม 2 ส. สุริยะ สมศักดิ์” จะยังอยู่กับพรรคเพื่อไทยต่อไปหรือไม่ เพราะขุมกำลัง สส.ของกลุ่มทุนนี้มีผลต่อฐานเสียงของพรรค และทิศทางการจัดตั้งรัฐบาล
หากกลุ่มทุนค่ายแดง เลือกตีจากพรรคเพื่อไทย อาจเท่ากับเป็นการบีบ “ชินวัตร”ให้หมดสภาพทางการเมืองไปโดยปริยาย ไม่ต่างจากพรรคเพื่อไทยที่ไม่ใช่ตัวเลือกหัวขบวนของ “รัฐพันลึก” ในชั่วโมงนี้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







