กังขา ‘เขากระโดง’ หด 4,414 ไร่ ลุ้น 2 สัปดาห์ ดีเอสไอรับ ‘คดีพิเศษ’

กังขา ‘เขากระโดง’ หด 4,414 ไร่ ลุ้น 2 สัปดาห์ ดีเอสไอรับ ‘คดีพิเศษ’

จับตาท่าที ทิศทางการทำคดีสำคัญทั้ง “ฮั้ว สว. - เขากระโดง” หลังจากนี้ หากมี “มือมืด” แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม “ก๊กส้ม” จะดำเนินการอย่างไร

KEY

POINTS

  • เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับที่ดินเขากระโดงของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งมีพื้นที่ลดลงจากเดิม 5,083 ไร่ เหลือเพียง 4,414 ไร่
  • รฟท. ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับดีเอสไอ เพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่บุกรุกครอบครองที่ดินเขากระโดงทั้งหมด
  • ดีเอสไอคาดว่าจะสามารถรวบรวมข้อมูล และเสนอให้อธิบดีรับคดีดังกล่าวเป็น "คดีพิเศษ" ได้ภายใน 2 สัปดาห์

ท่ามกลางความรื่นเริงของ “ก๊กสีน้ำเงิน” ที่รวมเสียงผลักดัน “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 32 ได้สำเร็จ ท่ามกลาง 2 แผลใหญ่ที่สังคมยังกังขา นั่นคือ กรณี “ฮั้ว สว.” ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีการเรียกตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง และผู้ถูกกล่าวหาเข้าไปชี้แจงหลายร้อยราย หนึ่งในนั้นปรากฏชื่อ “บ้านใหญ่อีสานใต้-บิ๊กเนมสีน้ำเงิน” หลายคน

นอกจากนี้ ยังมีประเด็น “ที่ดินเขากระโดง” มหากาพย์ที่ลากยาวมากว่า 50 ปี ตั้งแต่ยุค “ปู่ชัย ชิดชอบ” บิดา “เนวิน ชิดชอบ" " อดีตนักการเมืองชื่อดัง จนถึงปัจจุบันข้อเท็จจริงจากศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ และศาลปกครองสูงสุด เป็นที่ยุติแล้วว่า ที่ดินกว่า 5,083 ไร่ บริเวณเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในจำนวนนี้มีอย่างน้อย 12 แปลง 288 ไร่ อยู่ในเครือข่ายธุรกิจ “ตระกูลชิดชอบ” ซึ่งกินเนื้อที่ไปถึงสนามช้างอารีน่าด้วย

เรื่องนี้ ในส่วนดีเอสไอ ดำเนินการสอบสวนตามข้อร้องเรียนการครอบครอง และการออกเอกสารสิทธิในที่ดินบริเวณเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ อันอาจเป็นที่ดินของรัฐ โดยอธิบดีดีเอสไอ มีคำสั่งสืบสวน และดีเอสไอได้ดำเนินการสอบสวนปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานพบกลุ่มบุคคล และเจ้าหน้าที่การ รฟท.เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

ทว่า พลันที่ “ก๊กน้ำเงิน” กระแสสูง กำลังรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เริ่มมีกระแสสะพัดไปทั่ว มีความพยายามจาก “บางฝ่าย” ต้องการให้ “ชะลอ” เรื่องนี้ออกไปก่อน แม้ว่าขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ “กรมที่ดิน” กระทรวงมหาดไทย ภายใต้ยุค “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย และ “นายกฯ ชาย” เดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย สั่งการให้ รฟท.ดำเนินการยึดคืนที่ดินของรัฐกลับคืนมาแล้วก็ตาม

รฟท.แจ้งดีเอสไอ ให้ข้อมูล ‘เขากระโดง’

กระทั่งมีกระแสข่าวว่าบิ๊ก รฟท.เบี้ยวนัดเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับดีเอสไอ เมื่อ 4 ก.ย.68 ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ รฟท.ติดต่อว่าจะมอบให้ฝ่ายกฎหมายเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอให้ดำเนินการสอบสวนตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง พร้อมมอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องในวันที่4 ก.ย.68 เวลา 14.00 น.

โดย พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผอ.กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดีเอสไอ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย รฟท.ได้ประสานกลับมายังตน ขอเลื่อนการเข้าแจ้งความร้องทุกข์ออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด กรณีนี้พนักงานสอบสวนดีเอสไอตรวจสอบพบ กลุ่มบุคคล และเจ้าหน้าที่การรถไฟเข้าไปเกี่ยวข้อง และ รฟท.เป็นผู้เสียหายจึงประสาน รฟท. ไปให้มาแจ้งความดำเนินคดีอาญากับกลุ่มบุคคล และเจ้าหน้าที่ รฟท. และเจ้าหน้าที่รัฐอื่นในการเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณพื้นที่เขากระโดง ต.เสม็ด และ ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์

หาก รฟท.ไม่มาแจ้งร้องทุกข์ ก็เข้าข่ายละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ดีเอสไอจะทำหนังสือแจ้ง รฟท.อีกครั้งให้มาแจ้งความร้องทุกข์ หากยังไม่มาอีก ก็จะประชุมพนักงานสอบสวน ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้บริหาร รฟท. เรียกสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องฐานเป็นผู้สนับสนุนเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ดี รฟท.ได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวทันควันว่า ไม่ได้เลื่อนนัด แต่ดีเอสไอนัดพบในวันที่ 5 ก.ย.68 ที่ผ่านมา ดังนั้น รฟท.จะเดินทางไปตามกำหนดนัดหมายที่ระบุไว้ในหนังสือของดีเอสไอต่อไป ยืนยันจะยังคงเดินหน้าดำเนินการตามกฎหมายเพื่อประโยชน์ของประเทศ

ปัดตอบ ‘ตระกูลดัง’ พัวพันในพื้นที่

ต่อมา 5 ก.ย.2568 เจ้าหน้าที่อาณาบาล (ตัวแทนฝ่ายกฎหมาย) รฟท. เดินทางมาแจ้งความ และให้ข้อมูลแก่ดีเอสไอ หลังพบว่ามีการบุกรุกพื้นที่เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ได้เปิดเผยว่า มาเพื่อยืนยันกรรมสิทธิ์ในการถือครองที่ดินของ รฟท. ที่ผ่านมาได้ดำเนินการมาโดยตลอด ในเรื่องเพิกถอนที่รุกล้ำ โดยมีความประสงค์ให้ดีเอสไอดำเนินคดี กับกลุ่มบุคคลที่บุกรุกยึดถือครอบครอง ที่ดินในส่วนของเขากระโดงทั้งหมด 4,414 ไร่ รวมทั้งดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

โดยในประเด็นหากมีกลุ่มบุคคลร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการครอบครองยึดถือที่ดินนั้น เจ้าหน้าที่อาณาบาล กล่าวว่า คงเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ส่วนให้ข้อมูลอย่างไร และเจอกี่คนนั้น อันนี้ให้เป็นเรื่องของสำนวน ทางการรถไฟฯ แค่มายืนยันกรรมสิทธิ์ในส่วนของการรถไฟและการได้มา ส่วนกรรมสิทธิ์ดังกล่าวเป็นเรื่องของช่วงปีใดนั้น ก็ตั้งแต่ในหลวงท่านพระราชทานให้เป็นที่ดินของการรถไฟ

ผู้สื่อข่าวถามว่า รฟท. ทราบว่ามีกลุ่มคนบุกรุกที่ดินเขากระโดงของทางการรถไฟตั้งแต่เมื่อไรนั้น เจ้าหน้าที่อาณาบาล กล่าวว่า หากเป็นเรื่องรายละเอียดขอให้ไปสอบถามกับดีเอสไอแทน ส่วนเหตุใดจึงเพิ่งเข้ามาร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีในตอนนี้ ต้องเรียนว่าเราดำเนินการมาโดยตลอด ตั้งแต่เริ่มแรก เพียงแต่ไม่ได้เป็นข่าว สิ่งที่เราดำเนินการคือ ขับไล่

เมื่อถามว่า กรณีว่ามีเจ้าหน้าที่ของการรถไฟไปเกี่ยวข้องอย่างไร หรือไปเซ็นรับรองว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่ของการรถไฟฯ จนสามารถออกเอกสารสิทธิโฉนดที่ดินได้นั้น เจ้าหน้าที่อาณาบาล กล่าวว่า ขอให้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนแทน ซึ่งทราบว่าในสำนวนมีรายชื่อของเจ้าหน้าที่ ที่เซ็นรับรองไว้อยู่แล้ว และต้องขออนุญาตให้รายละเอียดอยู่ในสำนวนของพนักงานสอบสวน

เมื่อซักว่าพื้นที่ดังกล่าวมี “ตระกูลดัง” รวมอยู่ด้วย แต่ทางนั้นก็ยืนยันว่าได้เอกสารโฉนดมาโดยชอบ และผ่านเวลามาเนิ่นนานแล้ว รวมทั้ง เมื่อถามถึงเรื่องกรรมสิทธิ์การครอบครองที่ดิน มีการออกโฉนดทับที่การรถไฟ ได้มีการตรวจสอบอย่างไรบ้าง รวมถึงคำถามถึงพื้นที่เขากระโดง ที่มีการตั้งอยู่ของ 12 หน่วยงานราชการ สรุปว่าเป็นที่ดินราชพัสดุ หรือไม่ อย่างไร ปรากฏว่า เมื่อผู้สื่อข่าวถามคำถามเหล่านี้ เจ้าหน้าที่อาณาบาล ได้ขอยุติการให้สัมภาษณ์ และกล่าวขอบคุณสื่อมวลชนทันที

ที่ดินหด 669 ไร่ เหลือแค่ 4,414 ไร่

น่าสังเกตว่า จำนวน “ที่ดิน” หดลงจาก 5,083 ไร่ เหลือเพียง 4,414 ไร่เท่านั้น โดยหายไปกว่า 669 ไร่ ซึ่งไม่มีข้อมูลยืนยันว่า ส่วนเนื้อที่ที่หายไปนั้น อยู่ในมือใครครอบครองบ้าง 

ทั้งที่ ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ตั้งแต่ 2 ส.ค.68 ที่ผ่านมา รฟท.และกรมที่ดิน ได้ไปรังวัดที่ดิน บริเวณเขากระโดง ต.อิสาณ และ ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ร่วมกันแล้ว โดยทั้งสองหน่วยมาลงนามรับรองแผนที่ และทำการเพิกถอนตามคำสั่งศาลได้เลยตาม มาตรา 61(8) ที่ให้อำนาจอธิบดีกรมที่ดิน มีอำนาจเพิกถอนได้ทันที

โดยคณะพนักงานสืบสวนได้นำภาพถ่ายทางอากาศ ปี 2496 ซึ่งเป็นภาพถ่ายทางอากาศปีแรกที่ใช้ บริเวณเขากระโดงมาตรวจสอบเบื้องต้น ไม่พบร่องรอยการทำประโยชน์ ส่วนใหญ่มีสภาพเป็นพื้นที่ป่าสอดคล้องกับ พ.ร.ฎ.รถไฟฯ ที่ได้สำรวจ และจ่ายค่าทดแทนให้ราษฎร ที่ครอบครองที่ดิน 18 รายเท่านั้น ส่วนที่เหลือในพื้นที่มีสภาพเป็นพื้นที่ป่า

เมื่อไม่ปรากฏร่องรอยการทำประโยชน์ จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่สามารถออกเอกสารสิทธิที่ดินได้ จึงต้องเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินดังกล่าวตาม มาตรา 61 เพราะการสำรวจตามแผนที่ท้าย พ.ร.ฎ.รถไฟฯ พบว่า มีคนอยู่ 18 ราย และรัฐได้ซื้อที่ดินไปแล้ว นอกนั้นเป็นป่า และที่รกร้างว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดครอบครอง จึงเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์แล้ว เพียงแต่พิสูจน์เขตที่ดินรถไฟเท่านั้น ก็เพิกถอนได้ทั้งหมดแล้ว

โดยการรังวัดพื้นที่ตามคำสั่งศาลปกครอง ซึ่งเดิมระบุว่ามีพื้นที่ 5,083 ไร่ แต่จากการรังวัดล่าสุดเมื่อเดือนก.ค. 2567 ในยุค “มท.น้ำเงิน” กลับพบว่าพื้นที่จริงเหลือเพียง 4,414 ไร่ โดยทางดีเอสไอกำลังตรวจสอบในประเด็นเหล่านี้ด้วย

อย่างไรก็ดีมีการชี้แจงล่าสุดว่า สาเหตุที่วัดได้เหลือเพียง 4,414 ไร่นั้น เพราะเดิมการวัดจาก กม.0 ถึง กม.8 ได้ 5,083 ไร่ อย่างไรก็ดีระหว่าง กม.0 ถึง กม. 4.xx ไม่พบปัญหาการบุกรุก พบเพียง กม.4.xx ถึง กม. 8 จึงเนื้อที่เหลือ 4,414 ไร่

คาด 2 สัปดาห์ชง ‘ดีเอสไอ’ ทำคดีพิเศษ

อย่างไรก็ดี พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผอ.กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยืนยันว่าแม้ “การเมืองเปลี่ยนขั้ว” จะยังคงดำเนินคดีตามข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายต่อไป โดยระบุว่า ต้องเดินหน้าทำตามกรอบหน้าที่ อยู่ที่ขั้นตอน และพยานหลักฐานที่เรามี ต้องดำเนินการไปตามปกติ คาดว่ากรอบระยะเวลา ที่จะมีการประมวลเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชารับเป็นคดีพิเศษนั้น หาก รฟท.มีการให้ข้อมูลครบถ้วน และไม่มีการให้ดีเอสไอดำเนินการอะไรเพิ่มเติม ราวสองสัปดาห์หลังจากนี้ จะสามารถขออธิบดีดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษได้

“ถึงแม้ว่าจะมีผู้มีอิทธิพลครอบครองที่ดินในพื้นที่นี้ด้วย ก็ยืนยันว่าไม่กดดันในการทำคดี เพราะเราผิดชอบคดีใหญ่อยู่แล้ว และเป็นคดีที่มีความสลับซับซ้อน เป็นคดีที่มีผู้มีอิทธิพล หรือเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ กองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็ทำคดีเหล่านี้มาโดยตลอด จึงไม่มีความกดดันแต่อย่างใด เราทำไปตามกรอบอำนาจหน้าที่และกฎหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีผู้มีอำนาจมากดดันอะไร” พ.ต.ต.ณฐพล กล่าว

ทั้งหมดคือข้อมูล “เขากระโดง” ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง “เปลี่ยนขั้ว” จาก “ก๊กแดง” เป็น “ก๊กน้ำเงิน” 

จับตาท่าที ทิศทางการทำคดีสำคัญทั้ง “ฮั้ว สว. - เขากระโดง” หลังจากนี้ หากมี “มือมืด” แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม “ก๊กส้ม” ซึ่งโหวตหนุน “ก๊กน้ำเงิน” เถลิงอำนาจ จะดำเนินการ “กำกับ” อะไรได้ อย่างที่พูดหรือไม่ ต้องติดตาม

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์