‘เท้ง’ ยก 3 เหตุผลหนุน ‘อนุทิน’ นายกฯ ชวน พท.เป็น ‘ฝ่ายค้านข้างมาก’

‘ณัฐพงษ์’ อภิปรายคนสุดท้าย ใช้เหตุผล 3 ข้อหนุน ‘อนุทิน’ นายกฯ ขอแรง ‘เพื่อไทย’ อุดมการณ์ใกล้กันเป็น ‘ฝ่ายค้านข้างมาก’ กำกับ ‘รัฐบาลข้างน้อย’ เป็นโอกาสดีสุดแก้ รธน.ใหม่
KEY
POINTS
- ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ประกาศสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีเป้าหมายเพื่อให้มายุบสภาภายใน 4-6 เดือน และเปิดทางสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
- เชิญชวนพรรคเพื่อไทยให้มาร่วมมือทำหน้าที่เป็น "ฝ่ายค้านข้างมาก" ที่มีเสียงกว่า 280 เสียง เพื่อตรวจสอบรัฐบาลและผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ
- ยืนยันว่าการตัดสินใจนี้เป็นไปเพื่อหาทางออกให้ประเทศและผ่าทางตันทางการเมือง ไม่ใช่การสนับสนุนฝ่ายอนุรักษนิยม และพรรคประชาชนจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านโดยไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระการพิจารณาโหวตนายกรัฐมนตรี โดยฝ่ายพรรคภูมิใจไทย เสนอชื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค เป็นแคนดิเดตฯ ส่วนพรรคเพื่อไทย เสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดต
ทั้งนี้ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวอภิปรายปิดท้าย สนับสนุนนายอนุทิน เป็นนายกฯคนที่ 32 ว่า ขอตอบข้อห่วงใยที่เพื่อนสมาชิกหลายท่านอภิปรายในช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น สส.พรรคเพื่อไทย นายจาตุรนต์ ฉายแสง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว นายอดิศร เพียงเกษ รวมถึงท่านอื่น ๆ รวบรวมประเด็นสาระสำคัญ 3 ข้อ
หนึ่ง เรื่องข้อห่วงใยการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยว่าจะขัดต่อระบบการเมืองในระบบรัฐสภาหรือไม่ ที่เราเลือกนายกฯ โดยทางอ้อม วัตถุประสงค์เพื่อให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ หรือข้างมากในสภาฯ หลังจากอภิปรายในประเด็นดังกล่าว ภายหลังที่พรรค ปชน.มีการประกาศ MOA ทั้ง 5 ข้อ ในนั้นมีเรื่องของการคงสภาพการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยอยู่ การแสดงออกของพรรคเพื่อไทย แสดงออกบอกว่า พร้อมรับทุกข้อเสนอ ลดแลกแจกแถมหากเลือกนายชัยเกษม เป็นนายกฯ พร้อมยุบสภาฯทันที คำถามคือ เพื่อนสมาชิกที่อภิปรายสักครู่ ที่บอกว่า ไม่เห็นด้วยกับการให้มีรัฐบาลเสียงข้างน้อยเพราะขัดต่อการเมืองต่อระบบรัฐสภา วันนั้นท่านมาแสดงความเห็นคัดค้านของท่านหรือไม่ หรือจริง ๆ แล้วท่านคิดในใจว่า ท่านไม่เคยเชื่อการคงสภาพรัฐบาลเสียงข้างน้อยเลย หรือคิดอยู่แล้วว่า ถ้า ปชน.สนับสนุนนายชัยเกษม จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก จนถึงตอนนี้การอภิปรายไม่สามารถเชื่อได้เลยว่า หลักการคืออะไร
สอง เรื่องข้อห่วงใยที่บอกว่า จะเชื่อได้อย่างไรว่า การทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายค้านของ ปชน.จะถ่วงดุลตรวจสอบรัฐบาลได้อย่างตรงไปตรงมา พรรค ปชน.จะต้องคอยอุ้ม คอยแบก คอยเป็นองค์ประชุมให้การพิจารณากฎหมายของรัฐบาลหรือไม่ ขอถามกลับว่า ไม่คิดหรือว่า ในช่วงเวลา 4-6 เดือนต่อจากนี้ สภาฯชุดนี้ จะเป็นชุดในประวัติศาสตร์การเมือง ที่ฝ่ายค้านเข้มแข็งมากที่สุด ตราบที่ ปชน. และเพื่อไทย ยืนยันทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรงไปตรงมา เรามี 280 กว่าเสียง ทำไมเดินหน้าทางออกของประเทศยุบสภาฯ แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้
“วันนี้เชิญชวนให้เพื่อนสมาชิกจากพรรคเพื่อไทย ที่หลายคนรู้สึก และเราก็รู้สึกว่าอุดมการณ์ใกล้เคียงกัน ทำฝ่ายค้านเข้มแข็ง เดินหน้าตามข้อตกลงของ ปชน. นอกจากเปิดประตูแก้รัฐธรรมนูญ เดินหน้าประชาธิปไตยในประเทศใหม่ดีหรือไม่” นายณัฐพงษ์ กล่าว
สาม การตัดสินใจของ ปชน.วันนี้ มีบางส่วนห่วงใยว่า พวกเราสนับสนุนฝั่งอนุรักษนิยม ทำลายกระบวนการ ทำลายระบอบประชาธิปไตย ล้มล้างการปกครองหรือไม่ ไม่ขอพูดอะไรไปมากกว่านี้ แต่ขอระยะเวลา 4-6 เดือนต่อจากนี้ ที่ตนและท่านทำหน้าที่ฝ่ายค้านร่วมกัน พิสูจน์ว่า เราตัดสินใจ และต้องการเดินหน้ากระบวนการประชาธิปไตยจริง ๆ ไม่ใช่วันหนึ่ง ภท.แยกออก ในประเด็นการผลักดันนิรโทษกรรม ท่านผลักดันจริงหรือไม่
“เรากำลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง แก้รัฐธรรมนูญ พวกเรามีแค่ 143 เสียงทำเองไม่ได้ ผมต้องทำร่วมกับท่าน คือพรรคเพื่อไทย ที่เราต้องทำร่วมกันจริง ๆ” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า วันนี้สภาฯต้องพิจารณาญัตติโหวตนายกฯ เป็นครั้งที่ 4 ต่อจากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายเศรษฐา น.ส.แพทองธาร และวันนี้โหวตคนใหม่ ชุดนี้ชุดเดียวโหวตนายกฯครั้งที่ 4 ต้นสายปลายเหตุคืออะไร ได้คำตอบเดียวคือรัฐธรรมนูญปี 2560 เกิดความไม่ชัดเจนว่า ตกลงประเทศนี้อยู่ในระบอบประชาธิปไตยจริงหรือไม่ ไม่ชัดเจนหลักการแบ่งแยกอำนาจ ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ ที่ท่านได้รับผลกระทบ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องจริยธรรม ที่ทำให้นายเศรษฐา ทวีสิน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นตำแหน่ง มีปัญหาเยอะไปหมด ได้รับผลกระทบจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ใช่เวลาถกเถียงกันว่า อะไรคือปัญหาของประเทศ ยืนยันอีกครั้งว่า การตัดสินใจของพรรค ปชน.หาทางออกให้การเมืองไทย เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง เปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ความชัดเจนต่อจากนี้ ด้วยความเคารพ บางอย่างอาจทำให้นายอนุทิน อาจไม่สบายใจบ้าง แต่ยืนยันว่าพวกเราให้ความเคารพกับเพื่อน สส.ในที่ประชุมเท่ากัน เป็นข้อเท็จจริงที่ต้องยอมรับ ความชัดเจนข้อ
1.เราไม่ได้เลือกนายอนุทินบริหารประเทศ เราเลือกนายอนุทิน มายุบสภาฯ ภายใต้กรอบเวลาที่ตกลงกัน เปิดประตูแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยความชัดเจนแรก พรรค ปชน.เลือกนายอนุทิน เพราะเราได้เซ็นข้อตกลง 5 ข้อ เปิดเผยต่อสาธารณะ MOA ให้ทุกคนได้อ่าน คือต้องมีการยุบสภาฯ ภายใต้กรอบเวลา 4 เดือนหลังจากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และไม่ควรใช้ข้ออ้างอื่นใดละเมิดกรอบเวลาดังกล่าว เราเชื่อปัญหาใหญ่ของประเทศ ควรให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแก้ไข ผ่านการเลือกตั้ง
2.เรามีการระบุในข้อตกลง กรณีศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าการจัดทำประชามติ 3 ครั้ง เราก็มีการระบุว่า ให้ ครม.จะต้องมีมติให้มีการทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งครั้งหน้า หากทำประชามติ 3 ครั้งจริง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ถึง 4 เดือน เรื่องนี้ตนคาดหวังว่า รัฐบาลที่จะเข้ามาทำหน้าที่เปิดประตูสู่การเลือกตั้งใหม่ พิจารณาตามความเหมาะสมที่จะมีการยุบสภาฯโดยเร็ว
3.หากศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้เกิดการทำประชามติ 2 ครั้งนี่คือโอกาสดีที่สุดภายใต้ 4 เดือนนี้ที่รัฐสภาเราจะเปิดช่อง แก้ไขมาตรา 256 ให้ทัน ให้มี ส.ส.ร.จากการเลือกตั้ง แล้วทำประชามติจากการเลือกตั้งครั้งหน้า เริ่มกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจริง ๆ นี่คือโอกาสเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าประชาชนไม่เห็นด้วย มีใครให้คำตอบเราได้หรือไม่ มีโอกาสไหนของประเทศนี้อีก ที่จะดีกว่าตอนนี้ ในการเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ต้องตอบตน ถ้าคิดไม่ออก ให้นอนคิด 1-2 เดือน ถ้าคิดออก มาบอกตน เราคิดข้อเสนอนี้มา 2 เดือนที่แล้ว และไตร่ตรองกันแล้ว นี่โอกาสดีสุดเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ
4.การคงสภาพรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่ระบุใน MOA ย้ำอีกครั้งว่า ตนและพรรค ปชน.พรรคเดียว ไม่สามารถคงสภาพฝ่ายค้านเสียงข้างมากได้ ต้องร่วมมือกับเพื่อไทย ถ้าเพื่อไทยเห็นด้วยที่จะให้มีการปฏิบัติตาม MOA เปิดประตูแก้รัฐธรรมนูญ พวกเรา 2 พรรคยืนยันกันได้เต็มปากหรือไม่ พวกเรายืนยันว่าไม่มีใครเป็นงูเห่า ท่านตอบได้หรือไม่ ถ้าตอบได้ เดินหน้าทางนี้แน่
5.หลังโหวตนายกฯ พวกเรายืนยันการเป็นฝ่ายค้าน ไม่เป็นรัฐมนตรี บางคนห่วงใยว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ชวนให้อ่านมาตรา 106 ของรัฐธรรมนูญ ผู้นำฝ่ายค้านของสภาฯ คือหัวหน้าพรรคที่มีเสียงมากสุด และไม่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ไม่มีประธานสภาฯ หรือรองประธานสภาฯ ตนทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านได้ต่อไป โดยไม่ขัดรัฐธรรมนูญฯแต่อย่างใด
สิ่งที่อยากให้ชัดเจน ต่อมาคือ หลักการที่ตนยึดถือมาตลอด คือพรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค เข้าใจดีว่าเพื่อนสมาชิกที่นั่งตรงนี้ หลายคนอึดอัดใจมากที่จะลงมติโหวตในวันนี้ แต่เมื่อมีมติพรรคออกมาแล้ว มีกระบวนการรับฟังสมาชิกพรรคอย่างรอบด้านแล้ว เจ้าของพรรคตัวจริงรอบด้านแล้ว ไม่มีใครบิดพลิ้วมติพรรคครั้งนี้ได้ ถ้า สส.ปชน.ขัดมติพรรค ขัดคุณค่าพื้นฐานของพรรค ที่ว่าพรรคใหญ่กว่าคน เรายืนยันหนักแน่นมติพรรค เราเดินหน้าไม่ลังเล ไม่วอกแวก
“เราชัดเจนประชาชนใหญ่กว่าพรรค ทราบดี 14 ล้านคนที่เลือกก้าวไกลมา ไม่ใช่สมาชิกพรรค ปชน.ทั้งหมด เขาไม่ได้มีส่วนร่วมโหวตเลือกนายอนุทินเป็นนายกฯวันนี้ แต่ผมเชื่อ 14 ล้านคนที่กาก้าวไกลในวันนั้น ไม่มีใครเลือกนายอนุทินเป็นนายกฯ ไม่มีใครเลือกเพราะอยากเห็นรัฐบาลที่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เชื่อ 14 ล้านคนในวันนั้น ไม่มีใครหวังอยากเห็นอำนาจนอกระบบ แทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตย เชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนเห็นด้วยกับการตัดสินใจของพรรค” นายณัฐพงษ์ กล่าว
หัวหน้าพรรค ปชน.กล่าวด้วยว่า แต่สิ่งที่ยืนยัน เราตัดสินใจในวันนี้ เพื่อให้ชัดเจน ตัดสินใจเพราะเพื่อคน 60 กว่าล้านคน ในการผ่าทางตันให้ประเทศ เดินหน้าสู่การเลือกตั้งใหม่ แก้ไขรัฐธรรมนูญ นี่คือหลักประชาชนใหญ่กว่าพรรค ตัดสินใจเพื่อประเทศ ไม่ใช่ความนิยมของ ปชน.เฉพาะหน้า
“ประการสุดท้าย ความชัดเจนข้อสุดท้าย ถ้าเรามุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งใหม่ ภายใต้กรอบ 4-6 เดือนต่อจากนี้ ผมเชื่อทุกพรรค วันนี้เดินหน้าสู่การเลือกตั้งแล้ว ทุกพรรคต้องมุ่งหน้าในการสร้างคะแนนความนิยมให้กับตัวเอง เพื่อให้ทุกพรรค มี สส.ในสภาฯ มากสุด ในการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี รัฐบาลหน้า ชัดเจนถ้าทุกพรรคอยากได้คะแนนนิยมมากขึ้น คุณต้องรักษาสัญญา นี่คือความชัดเจน 5 ข้อหลัก ๆ ที่ ปชน.ใช้ในการตัดสินใจโหวตนายอนุทินเป็นนายกฯ และผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ประเทศไทยจะมีทางออกได้ หากเราเปิดประตูแก้ไขรัฐธรรมนูญ” หัวหน้าพรรค ปชน.กล่าว







