'ยุบสภา'เกมพลาด'เพื่อไทย’ เกมใหม่ 'ชัยเกษม'ผ่าทางตัน?

"พรรคเพื่อไทย" เพลี่ยงพล้ำต่อการอ่านเกมการเมืองผิดพลาดจนส่งผลกระทบถึงการอยู่ในอำนาจ ไม่สามารถใช้อำนาจยุบสภา เพื่อผ่าทางตันทางการเมือง
KEY
POINTS
- ความพยายามของพรรคเพื่อไทยในการยุบสภาเพื่อหาทางออกทางการเมืองต้องถึงทางตัน เพราะร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภาฯ ถูกตีกลับด้วยเหตุผลรัฐบาลรักษาการไม่มีนายกรัฐมนตรีตัวจริง
- "คิดผิด ชีวิตเปลี่ยน" การตัดสินใจยุบสภาที่ล่าช้าของพรรคเพื่อไทย ซึ่งควรทำก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยคดีของ "แพทองธาร ชินวัตร" ถือเป็นจุดเปลี่ยนทำให้พรรคเสียเปรียบทางการเมือง
- เกมยุบสภาล้มเหลว พรรคเพื่อไทย หวังเอาใจพรรคประชาชนเสนอชื่อ "ชัยเกษม" เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อผ่าทางตันด้วยการยุบสภาฯ ทันที
- ความผิดพลาดของเพื่อไทยเปิดทางให้พรรคภูมิใจไทยพลิกขั้วการเมือง มีแนวโน้มสูงที่สภาฯ จะเห็นชอบให้ "อนุทิน ชาญวีรกูล" ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ด้วยการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียง
ปมปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการเสนอร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภาฯ ซึ่ง “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี งัดไพ่ใบสุดท้ายตามช่องทางรัฐธรรมนูญ มาตรา 103 ผ่าทางตันทางการเมือง คืนอำนาจให้ประชาชนผ่านการเลือกตั้ง เกิดข้อถกเถียงในบรรดานักกฎหมายมหาชนก่อนหน้านี้ว่า มีทั้งทำได้ และทำไม่ได้
ขณะเดียวกัน มรสุมที่รุมเร้ารัฐบาลรักษาการ ภายใต้การนำของ“พรรคเพื่อไทย” ยังต้องเผชิญอุปสรรครอบด้าน จนการอ่านทิศทางเกมการเมืองผิดพลาด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พลาดท่าครั้งแรก คือ ผู้นำจิตวิญญาณของเพื่อไทย เชื่อมั่นว่า “แพทองธาร ชินวัตร” รอดคดีคลิปเสียง ได้ไปต่อ ประคองอำนาจรัฐไปจนถึงก่อนครบวาระในปี 2570 แต่ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ให้ “แพทองธาร” พ้นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2568
พลาดครั้งที่สอง จากการทูลเกล้าฯ พ.ร.ฎ.ยุบสภา 2 ก.ย.2568 เป็นการเดินไปสู่จุดเพลี่ยงพล้ำในฉากทัศน์ต่อมา หลังเก้าอี้นายกฯหลุดมือไป ทั้งที่ค่ายแดงก็พออ่านเกมขั้วสีน้ำเงินออกจากจังหวะการเดิมเกมแรงและเร็ว อีกทั้งย่อมรู้ฉากทัศน์การเมือง เพื่อเตรียมรับมือ
ดาบแรกที่“พรรคเพื่อไทย”ใช้ผ่าทางตันด้วยการ“ยุบสภา” ไม่สามารถกระทำได้ เพราะติดขัดไม่มีนายกฯตัวจริง
ระหว่างการทูลเกล้าฯร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร ไปแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้รับแจ้งเป็นหนังสือตีกลับจากสำนักองคมนตรี ในฐานะหน่วยงานกลั่นกรอง และถวายความเห็นประกอบการกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย และทรงลงพระปรมาภิไธย พร้อมกับส่งคืนร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภา มายัง สลค.
สาระสำคัญของเหตุผลในการตีกลับ คือ เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีดังกล่าวน่าจะยังไม่มีกระบวนการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน การกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภา จึงไม่เป็นไปตามระเบียบ
“เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีปัญหาข้อขัดแย้งว่ากระทำได้หรือไม่ ประกอบกับเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ทำความเห็นประกอบว่า รัฐบาลรักษาการไม่สามารถกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาได้ จึงไม่สามารถกราบบังคมทูล เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย” แหล่งข่าวระบุ
พรรคเพื่อไทยจึงแก้เกม เปิดโปรฯใหม่ หวังเปลี่ยนใจพรรคส้ม ให้ยกมือสนับสนุนค่ายแดง โหวต“ชัยเกษม”เป็นนายกฯ หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา พร้อมยุบสภา คืนอำนาจประชาชนทันที โดยไม่ต้องรอ 4 เดือน
ถือเป็นพลาดครั้งที่สาม อย่างต่อเนื่อง เมื่อตัดสินใจเดินเกมช้า หลังจากพรรคส้ม-พรรคน้ำเงิน ปิดดีลกันไปแล้ว
ความพยายามในการงัดทุกกระบวนท่าของพรรคเพื่อไทย ไม่สามารถเปลี่ยนจุดยืน“มติของพรรคประชาชน”ได้
นาทีนี้ ภูมิใจไทยผนึกพันธมิตรพลิกขั้วย้ายข้าง รวมทั้งยังได้เสียงจากฝ่ายค้านมาสนับสนุน “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกฯ คนที่ 32 ด้วยเสียงโหวตไม่ต่ำกว่า 280 เสียง รวมทั้งยังอาจได้เห็นงูเห่าค่ายแดงมากกว่า 10 เสียงในวันโหวตนายกฯ เพื่อเดินหน้าไปสู่การตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย แม้จะมีอายุ 4 เดือนก่อนยุบสภา
เกมยุบสภาฯ ล่าช้าของเพื่อไทย ที่ควรตัดสินใจก่อนคดีคลิปเสียง กลายเป็นจุดเปลี่ยนของเพื่อไทย ชนิดกลับหลังหันไปแก้อะไรไม่ได้ นอกจากต้องเดินหน้า หาทางไปสู่การยุบสภาฯ ให้ได้โดยเร็ว เพื่อไม่ให้ภูมิใจไทยตั้งรัฐบาลได้
แหล่งข่าวนักวิชาการคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ มองเกมชิงนายกฯ ขณะนี้ว่า บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 159 วรรคสามกำหนดว่า มติในการเลือกนายกฯต้องมี “คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร” ฉะนั้น เมื่อสภาฯ เปิดประชุมโหวตเลือกนายกฯ แล้ว ถ้ายังไม่มีแคนดิเดตนายกฯ คนใดได้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาฯ ก็จะต้องโหวตไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้นายกฯ ที่ได้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่ง คือ 247 เสียง ซึ่งตามกฎหมายก็ไม่มีกรอบเวลากำหนดไว้ว่า จะต้องได้นายกฯ ภายในกี่วัน
ทว่า สิ่งที่น่าตั้งข้อสังเกตต่อไป หากนับจากนี้สภาฯเลือกนายกฯ คนใหม่ไม่ได้เลยตลอด 4 เดือน ที่สุดแล้วอำนาจยุบสภาฯ จะไม่สามารถกระทำได้เลยใช่หรือไม่ ภายใต้เงื่อนไขและสถานการณ์ที่ไร้ทางออกเช่นนี้
สถานะของรัฐบาลรักษาการ “พรรคเพื่อไทย” เวลานี้จึงถูกมองว่า แพ้ทุกประตู แถมถูกต้อนเข้ามุม คือ อ่านเกมผิดพลาด “คิดผิด ชีวิตเปลี่ยน” ไม่ใช้อำนาจยุบสภาฯ ก่อนวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยคดีคลิปเสียงเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2568
เพราะหากยุบสภาฯ ไปก่อนหน้านั้น พรรคเพื่อไทยก็ไม่เสียเหลี่ยม เสียแต้มต่อทางการเมืองไปให้ก๊กน้ำเงิน และก๊กส้ม หลายกระบวนการท่า จนแทบไม่เหลือทางสู้
การวางบท วางพล็อต และรูปเกมทั้งหมดของภูมิใจไทย ในบทถือธงนำหัวขบวนอนุรักษนิยม หากไม่มีอะไรให้สะดุด เส้นทางสู่นายกฯ คนที่ 32 ของ “อนุุทิน ชาญวีรกูล” คงราบรื่น เมื่อเพื่อไทยไร้อำนาจ ไม่สามารถใช้เกมยุบสภาฯ ผ่าทางตันการเมืองได้







