วิบากการเมือง ขาลง‘เพื่อไทย’ ส่อวืดอำนาจ เสี่ยงสิ้นชื่อ ยุบพรรค

วิบากการเมือง ขาลง‘เพื่อไทย’ ส่อวืดอำนาจ เสี่ยงสิ้นชื่อ ยุบพรรค

เมื่อนาทีนี้ เครื่องจักรสีแดง และมนต์ขลังทักษิณ ที่เคยเกรียงไกร เป็นขวัญใจรากหญ้า กลับถดถอย จนหาทางฟื้นจากวิกฤติยังไม่เจอ

เข้าโหมดขาลงเต็มตัวสำหรับพรรคเพื่อไทย ที่เพิ่งสังเวยนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เซ่นเหลี่ยมฮุน เซน จนมีคลิปเสียงหลุด กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญฟัน ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง

รัฐบาลภายใต้การนำของเพื่อไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีส่วนทำให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทวีความตึงเครียดอย่างหนัก กลายเป็นปัจจัยลดทอนความเชื่อมั่นและความนิยมทางการเมืองจนแทบไม่เหลือชิ้นดี

ตรงนี้เองที่อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำพรรคร่วมรัฐบาลรวมถึง สส.บางกลุ่ม หรือแม้แต่ในเพื่อไทยเอง เลือกหันหลังไปสนับสนุนอนุทิน ชาญวีรกูล และภูมิใจไทย

ไม่ว่าความต้องการที่ผิดพลาดในการเดินเกมของผู้มีอำนาจเหนือพรรคจะเป็นอย่างไร แต่นั่นส่งผลสะเทือนให้ต้องสังเวยนายกฯ ของพรรคไปแล้ว 2 คน โดยได้บริหารงานเพียงแค่คนละปี

โดยเฉพาะกรณีล่าสุดที่เกิดกับแพทองธาร ชินวัตร มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า เป็นเพราะทักษิณ ชินวัตร และฮุน เซน ผิดใจกันเรื่องผลประโยชน์พื้นที่แหล่งพลังงานในทะเลอ่าวไทย ตามที่ 2 ประเทศอ้างสิทธิ์หรือไม่ก็ตาม แต่คนรับกรรมคือลูกสาว

สถานการณ์การเมืองที่รุมเร้าเพื่อไทย ท่ามกลางเดิมพันในการแย่งชิงอำนาจรัฐกับขั้วภูมิใจไทย ที่มั่นอกมั่นใจอย่างขีดสุดว่าจะเข้าฮอสส่งอนุทิน เป็นนายกฯ สำเร็จ

แม้เพื่อไทยจะมองว่า ตัวเองมีไพ่ยุบสภาในมือ แต่ก็สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายไม่น้อย ว่ารักษาการนายกฯ หรือผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ มีอำนาจทำเช่นนั้นได้หรือไม่ ขนาดเลขาฯกฤษฎีกา ปกรณ์ นิลประพันธ์ ย้ำปากเปียกปากแฉะ ว่ากรณีเช่นนี้ ทำไม่ได้

การเดินหน้าไปต่อของเพื่อไทยจึงเหนื่อยแทบทุกประตู หากยุบสภาเลือกตั้งใหม่จริง ในเร็ววัน กระแสของพรรคที่ตกต่ำ ทั้งจากสถานการณ์กับกัมพูชา และผลงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ตามเป้า ก็พอจะเห็นผลลัพธ์ที่น่ากังวลไม่น้อย

มองไปทางไหน ก็เห็นแต่เส้นทางที่ยากลำบาก มิหนำซ้ำ วิบากกรรมของเพื่อไทย ยังไม่จบ เมื่อ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อให้ฟันซ้ำแพทองธาร ลามไปถึงการยุบพรรคเพื่อไทย 

หาก กกต. พิจารณาแล้วว่าผิดตามคำร้องจริง ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด

โดยเรืองไกร นำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ 29 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา ประกอบคำร้อง เพราะถือเป็นหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคเพื่อไทยโดย แพทองธาร ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 (2) หรือไม่

พร้อมกับอ้างอิงว่า กรณีคำร้องดังกล่าวเทียบเคียงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2562 คดียุบพรรคไทยรักษาชาติ

แล้วไหนเพื่อไทยยังต้องลุ้นดาบที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ที่ไม่แคล้วจะมีมือดี ร้องฟันซ้ำแพทองธาร หวังจับให้มั่นคั้นให้ตายยกรัง

เพื่อไทย ในยุคทักษิณกลับประเทศไทย หลังหลบลี้หนีภัยอยู่ต่างประเทศนาน 17 ปี ไม่ได้ช่วยให้พรรคเติบโต คืนสู่ความยิ่งใหญ่ เหมือนยุคไทยรักไทย แต่ทิศทางพรรคกลับตรงกันข้าม

เมื่อนาทีนี้ เครื่องจักรสีแดง และมนต์ขลังทักษิณ ที่เคยเกรียงไกร เป็นขวัญใจรากหญ้า กลับถดถอย จนหาทางฟื้นจากวิกฤติยังไม่เจอ