พท.ไฟต์บังคับ ‘ยื้อ-หนุน-ยุบ’ ‘อนุทิน-ชัยเกษม-ประยุทธ์’ ไพ่ใบสุดท้าย?

อ่านสมการ 3 สูตร "ส้ม-แดง-น้ำเงิน" คำตอบสุดท้าย เส้นทางสู่นายกฯ คนที่ 32
KEY
POINTS
- อ่านสมการ 3 สูตร "ส้ม-แดง-น้ำเงิน" คำตอบสุดท้ายนายกฯ คนที่ 32
- พรรคเพื่อไทย (พท.) กำลังเผชิญสถานการณ์ "ไฟต์บังคับ" ที่ต้องเลือกเดินเกมระหว่าง 3 แนวทางคือ "ยื้อ" การโหวตนายกรัฐมนตรี, "หนุน" แคนดิเดตนายกฯ คนนอก หรือ "ยุบสภา"
- หากแคนดิเดตของพรรคอย่าง ชัยเกษม นิติสิริ ไม่สามารถรวมเสียงได้ พรรคเพื่อไทยอาจต้องพิจารณาไพ่ใบอื่น
- หนึ่งในทางเลือกคือ การ "หนุน" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อดึงเสียงสนับสนุนจากขั้วอำนาจเดิม และเป็นการสกัด อนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ให้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ
- หากทุกแนวทางล้มเหลว "การยุบสภา" ถือเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายที่พรรคเพื่อไทยอาจนำมาใช้เพื่อล้างกระดานการเมืองใหม่
การเมืองท่ามกลางความอลหม่านปั่นป่วน ภายใต้สูตรโหวตนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 และเป็นคนที่ 3 ในรอบ 2 ปี ถึงนาทีนี้ต้องไปลุ้น “143 เสียง” พรรคประชาชน ที่จะเป็นตัวแปร ชี้ขาดสูตรจัดตั้งรัฐบาล ระหว่าง “แดง-ส้ม” หรือ “น้ำเงิน-ส้ม” ว่าจะเป็นสูตรใด
ภายใต้ “3 สูตร” ที่มีการคาดคะเน และมีการวางเดิมพันกันอยู่ในเวลานี้
สูตรแรก “แดง-ส้ม” ท่ามกลางสัญญาณหลังการพบกันระหว่าง “2 ผู้นำจิตวิญญาณ” ทั้ง “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่เพื่อไทย และ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า
สูตรนี้มี “จุดร่วม” ตรงที่ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการทำประชามติ ซึ่งทั้ง 2 พรรคพยายามผลักดันร่วมกัน
มุมนี้พรรคเพื่อไทยพยายามกระตุกเตือนไปยังพรรคประชาชน ถึงต้นตอที่ทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญล่าช้า มาจากการที่พรรคภูมิใจไทย ทำตัวเป็น “ภูมิใจขวาง”
เป็นที่มาของการยื่นคำร้องต่อประธานรัฐสภา เพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติ ในวันที่ 10 ก.ย.2568 นี้
หรือกรณีโหวตนายกฯ ซึ่งเพื่อไทยพยายามเตือนความจำ เมื่อครั้งจัดตั้งรัฐบาลเพื่อไทย-ก้าวไกล ซึ่ง 141 เสียงพรรคเพื่อไทยได้ลงมติสนับสนุนหนุน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ ต่างจากภูมิใจไทย ที่นอกจากจะไม่โหวตให้แล้ว ยังประกาศแต่ต้นเสียด้วยซ้ำ ว่าจะไม่ร่วมงานกับพรรคก้าวไกล
“แดง-ส้ม” ฟื้นเอ็มโอยู-จบแล้วครับนาย?
ทว่า สูตรนี้ก็ยังมีเสียงสะท้อนจาก สส.รวมถึงมวลชน “ฝั่งส้ม” ขุดประเด็น “เอ็มโอยู” เพื่อไทย-ก้าวไกล เมื่อครั้งจัดตั้งรัฐบาลปี 2566 ที่ถูกฉีกทิ้ง หลังพรรคเพื่อไทยเปิด “ปฏิญญาช็อกมินต์” หันไปจับมือกับขั้วตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นรวมไทยสร้างชาติ หรือภูมิใจไทย
ก่อนที่ต่อมา แกนนำเพื่อไทยจะออกมาเลี่ยงบาลี ถึงกรณีพลิกขั้วดังกล่าว ทั้งที่ช่วงหาเสียงมีการฟาดฟันกันอย่างดุเดือด ว่าเป็นเพียง“เทคนิคหาเสียง”
ไหนจะกรณีที่ “หมอชลน่าน ศรีแก้ว” อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เคยประกาศกลางสภาฯ เมื่อวันที่ 22 ส.ค.2566 ในวันโหวต “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรี ในทำนองที่ว่า หากรัฐธรรมนูญไม่ออกแบบมาเช่นนี้ พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ไม่มีทางจับมือกัน ก่อนที่จะตบท้ายด้วยวลีดุเดือดที่ว่า “คิดผิดที่จับมือด้วย”
ฉะนั้น แม้ท่าทีล่าสุดจาก “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย แกนนำเพื่อไทย จะบอกว่า ขอให้พรรคประชาชนลืมอดีต
แต่เรื่องนี้ยังทิ้งบาดแผลในใจระหว่าง “ส้ม”และ “แดง” ที่อาจถึงคราวจบแล้วครับนายหรือไม่? จึงต้องติดตาม
“น้ำเงิน-ส้ม”โจทย์ร้อน-คำถามที่รอคำตอบ
สูตรสอง “น้ำเงิน-ส้ม” สูตรนี้มีจุดร่วมตรงที่มี Agreement บันทึกข้อตกลงสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึง MOA ระหว่างพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย ในการโหวต “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้ง “รัฐบาลเฉพาะกิจ” ขับเคลื่อนวาระสำคัญเช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการทำประชามติ ก่อนที่จะมีการยุบสภาภายใน 4 เดือน หลังแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา
สูตรนี้มีเสียงขานรับจาก “แนวร่วมส้ม” บางส่วน อาทิ “อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล” อดีตสส.พรรคก้าวไกล ที่มองว่า จะมีเสียงสว.สีน้ำเงิน เป็นปัจจัยหนุน ทำให้โอกาสผ่านเรื่องประชามติ แก้รัฐธรรมนูญจะมีมากกว่า
ขณะที่ ภูมิใจไทยจะเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ที่ควบคุมง่ายกว่า ถ้าไม่โหวตอะไรให้ รัฐบาลภูมิใจไทยก็ล้มทันที ตรงข้ามกับเพื่อไทยที่มีเสียงมากกว่า ถ้าเบี้ยวก็ควบคุมยากกว่า มีโอกาสจะไม่ยุบสภาในกำหนด 4 เดือนสูงกว่า
ทว่า สูตรนี้ก็ยังมีเสียงทักท้วงจากอีกส่วนเช่นเดียวกัน ภายใต้โจทย์ที่พรรคประชาชนต้องแก้ให้ตก และหาคำตอบให้กับมวลชนรวมถึงสังคมให้ได้
ทั้งกรณีข้อพิพาทในพื้นที่เขากระโดง ซึ่งโยงไปถึง “เนวิน ชิดชอบ” ครูใหญ่สีน้ำเงิน รวมถึงคดีฮั้ว สว.ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับ “เครือข่ายสีน้ำเงิน” และกำลังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบในเวลานี้ หากพรรคประชาชนโหวตให้ภูมิใจไทย จะเป็นการไปอุ้ม 2 กรณีดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร
เหนือไปกว่านั้น ที่ต้องจับตา คือ “คดี44 สส.” พรรคก้าวไกล ที่ร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ซึ่งยังมีดาบสองในคดีจริยธรรมที่ค้างอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในเวลานี้
ท่ามกลางการจับตาไปที่ประเด็น “สมประโยชน์ระหว่าง” พรรคประชาชน ที่แปรสภาพมาจากพรรคก้าวไกล และภูมิใจไทยที่ยามนี้คุมอำนาจสภาสูง และกำลังแผ่อำนาจในองค์กรอิสระหรือไม่อย่างไร
ลอยแพ “พท-ภท.” เกมบีบยุบสภา?
สูตรสาม พรรคประชาชน“ลอยแพ” ทั้ง “เพื่อไทย” และ “ภูมิใจไทย” ไม่โหวตให้ฝ่ายใด เพื่อเดินเกมบีบนำไปสู่การ “ยุบสภา” เพื่อเลือกตั้งใหม่
เห็นชัดจากท่าทีของ “พริษฐ์ วัชรสินธุ” สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคประชาชน ที่มีการอ่านเกมทั้ง“น้ำเงิน” และ“แดง” ถึงการไว้เนื้อเชื่อใจที่ “ไม่ไว้ใจทั้งคู่”
สูตรนี้มีการมองว่าพรรคประชาชนอาจได้เปรียบตรงที่เป็นพรรคที่พร้อมเลือกตั้งมากที่สุดในเวลานี้
จับสัญญาณที่ถูกส่งออกมาในเวลานี้ แม้จะยังไม่ตัดสูตรใดสูตรหนึ่งทิ้ง แต่ว่ากันว่า ในมิติการเมือง ให้น้ำหนักไปที่สูตรสอง และ สูตรสาม มากกว่าสูตรแรก
จับอาการจากที่ฝั่งเพื่อไทยออกมาเปิดเกมขู่พรรคประชาชน หากไม่เลือกเพื่อไทยก็ยังมี “ไพ่ตายยุบสภา”
เป็นเช่นนี้ต้องจับตา กระบวนการโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ แม้ล่าสุด “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะบอกว่า ควรที่จะต้องเร่งดำเนินการ เนื่องจากไม่ควรให้ประเทศ “ว่างเว้นผู้นำ” แต่ก็ยอมรับว่า อาจไม่ทันการประชุมสภาฯ วันที่ 3 ก.ย.นี้ เนื่องจากต้องแจ้ง สส.ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า ฝ่ายใดรวมเสียงข้างมากได้
ขณะที่ “อาพัทธ์ สุขะนันท์” เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พูดถึงไทม์ไลน์ โหวตนายกฯคนที่ 32 ว่า ยังไม่มีพรรคการเมืองใด ติดต่อประสาน แจ้งเพิ่มระเบียบวาระเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ประธานสภาฯได้สั่งให้สแตนด์บายไว้ทั้งหมด 4 วัน คือ 3-4-5 และ 10 ก.ย.
เพื่อไทย“ยื้อ-หนุน-ยุบ?”
สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวพรรคเพื่อไทย ที่ว่ากันว่า กำลังเดินเกม “ยื้อ-หนุน-ยุบ” ทั้งการดึงเกมสภาฯ ที่มีทั้งประธานและรองประธานสภาฯเป็นคนของพรรคเพื่อไทยทั้งหมด เพื่อ “ยื้อโหวต” นายกฯ โดยอาศัยช่องว่างระหว่างนี้การเสนอเปิดสภาฯ เพื่อดีเบตหาทางออกในประเด็นดังกล่าว ก่อนที่จะมีการโหวตนายกฯ
ระหว่างนี้เพื่อไทย อาจมีการเปิดดีล เคลียร์ทาง หากเห็นว่าชื่อของ “ชัยเกษม นิติสิริ” ยังไม่ใช้คำตอบสุดท้าย หรือไม่ตอบโจทย์ในดุลอำนาจ ก็จะนำไปสู่การเปิดดีลเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ในลำดับถัดไป ด้วยการ “หนุน” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อดึงเสียงในส่วนของกลุ่ม16 สส.ของ “สุชาติ ชมกลิ่น” รมช.พาณิชย์ ต่อสายสัมพันธ์ไปถึง “ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ป.ผู้พี่ เปิดทางในการนำพรรคพลังประชารัฐ คัมแบ็คร่วมรัฐบาลอีกครั้ง
แถมสยบอหังการ “น.หนู” อนุทิน เพื่อไม่ให้อ้าง “สัญญาณพิเศษ” ได้อีกต่อไป
หรืออีกชอยซ์ คือ “ยุบสภา” ซึ่งจะเป็นไพ่ตายใบสุดท้าย ภายใต้ไฟต์บังคับ ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะหยิบมาใช้ เพื่อนำไปสู่การเซตซีโร่กระดานการเมืองในท้ายที่สุด
ต้องจับตาการเมืองท่ามกลางความอลหม่านปั่นป่วน ไม่ต่างจากสารพัดสูตรที่ถูกโยนออกมาในเวลานี้ ในทางการเมืองแล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้แทบทั้งสิ้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







