ศึกชิงนายกฯคนใหม่ ส่องไพ่ใบสุดท้าย?

ศึกชิงนายกฯคนใหม่ ส่องไพ่ใบสุดท้าย?

หลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติด้วยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 วินิจฉัยให้ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามข้อกล่าวหาผิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน

สิ่งที่ตามมา อะไรก็เกิดขึ้นได้ สำหรับการเมืองไทยชั่วโมงนี้

แม้ กระแสข่าวที่เป็นอยู่ จะมีการช่วงชิงเกมจัดตั้งรัฐบาลกันระหว่าง พรรคเพื่อไทย แกนนำรัฐบาลเดิม กับพรรคภูมิใจไทย แกนนำผู้ท้าชิงในศึกใหญ่ครั้งนี้ ก็ตาม

“เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดฉากชิงจัดตั้งรัฐบาล ด้วยการแถลงข่าว หลังกลับจากการพูดคุยกับแกนนำพรรคประชาชน และแกนนำพรรคกล้าธรรม

ที่น่าสนใจ การแถลงครั้งนี้ มีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค “พลังประชารัฐ” นายสุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรค “รวมไทยสร้างชาติ” นายศักดา วิเชียรศรี ส.ส.กาญจนบุรี พรรค “เพื่อไทย” นายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรค “ประชาธิปไตยใหม่” และนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีจากพรรค “ประชาธิปัตย์” ร่วมด้วย

 “อนุทิน” กล่าวว่า พวกเราซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มารวมตัวกันเพื่อแสดงความพร้อมจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ให้การแก้ปัญหาของประเทศเดินหน้าโดยไม่สะดุด หลังจากได้รับทราบเงื่อนไขของพรรคประชาชนแล้ว ทุกคนยืนยันจะดำเนินการตามสิ่งที่หารือสาระสำคัญ รวมถึงรายละเอียดที่เห็นพ้องร่วมกัน

ทั้งยังกล่าวว่า หลังมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ พวกเราต้องไม่ปล่อยให้ประเทศหยุดชะงัก ปัญหาที่เกิดขึ้นบางเรื่องเป็นเพียงเส้นผมบังภูเขา หากเป็นกลุ่มเดิมอาจแก้ไม่ได้ แต่เรามั่นใจว่าจะแก้ได้เพราะมีความห่วงใยและต้องการคืนความสงบสุขให้บ้านเมือง

 นอกจากนี้ “อนุทิน” กล่าวด้วยว่า เมื่อรวมเสียงกับพรรคประชาชนแล้ว มั่นใจว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยเงื่อนไขสำคัญคือ ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ แก้ปัญหาความสงบ และเจรจาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมประกาศจะคืนอำนาจให้ประชาชนภายใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย และยุบสภาให้ประชาชนรีเซตประเทศและตัดสินใจอนาคตบ้านเมือง

“พวกเราที่อยู่ในที่นี้ขอเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองในทุกด้าน และคืนอำนาจให้พี่น้องประชาชนโดยเร็วที่สุด”

ส่วนนายศักดา วิเชียรศิลป์ ส.ส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย ซึ่งร่วมแถลงข่าว กล่าวว่า ตนและเพื่อนส.ส.กว่า 10 คนจากพรรคเพื่อไทย สนับสนุนนายอนุทินเพราะต้องการเห็นบ้านเมืองดีขึ้น ยืนยันไม่มีปัญหากับพรรค แต่ในฐานะผู้แทนฯที่เห็นความเดือดร้อนประชาชน เชื่อว่านายอนุทินเหมาะสมที่สุด

ศึกชิงนายกฯคนใหม่ ส่องไพ่ใบสุดท้าย?

ฝ่ายแกนนำรัฐบาลเดิม หรือพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ ให้สัมภาษณ์ ภายหลังการหารือร่วมกับแกนนำพรรคประมาณ 1 ชั่วโมงว่า ขอเรียนให้พี่น้องประชาชนทราบว่า ขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลยังจับมือกันเหนียวแน่น พร้อมที่จะเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่อย่างที่แถลงข่าวมาแล้วตั้งแต่ต้น ขณะนี้เสียงของรัฐบาลยังเป็นไปเหมือนเดิม และเราคิดว่าข้อเสนอต่างๆ ไม่ว่าฝ่ายใด ถ้าดูแล้วเป็นไปในแนวทางประชาธิปไตย และเป็นแนวทางเดียวกับพรรคเพื่อไทยไม่มีปัญหา เราสามารถเปิดรับกับทุกพรรคการเมืองที่จะร่วมมือกับเราได้เพื่อให้การดำเนินงานให้รัฐบาลมั่นคง และสามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน และแก้ปัญหาเรื่องประชาธิปไตยได้ เรายินดีร่วมมือทั้งหมด ซึ่งจากนี้จะมีการประสานงานกันต่อไป

 และ “ภูมิธรรม” ยังกล่าวถึงเงื่อนไขของพรรคประชาชนด้วยว่า สิ่งที่พรรคประชาชนเสนอขึ้นมา พรรคภูมิใจไทยตอบรับแล้วก็ตาม สำหรับเพื่อไทยที่ได้รับมอบหมายจากพรรคร่วมให้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เราก็เห็นว่า สิ่งที่เขาเสนอก็ไม่ได้แตกต่างจากพรรคเพื่อไทยมี พรรคเพื่อไทยยินดีจะสร้างรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยอยู่แล้ว ในรายละเอียดและข้อเสนอต่างๆ ต้องอยู่ที่การคุยกัน ตอนนี้ก็พยายามประสานหาทางคุยกันอยู่

ส่วนเมื่อถาม กังวลหรือไม่ว่าจะมีงูเห่าเพราะกระแสว่า มีงูเห่า 17 คน ย้ายไปอยู่พรรคภูมิใจไทย “ภูมิธรรม” กล่าวว่า งูเห่าก็เหมือนที่พูด ต่างฝ่ายต่างอ้างอิงแต่ยังไม่เคยมีใครลากงูเห่าออกมาเลย ก็ขึ้นอยู่กับคนที่พูดน่าเชื่อถือแค่ไหน แต่ว่าจะแสดงออกจริงคือวันที่เลือกนายกรัฐมนตรี

 นี่คือ สิ่งที่ทำให้เห็นว่า ต่างฝ่ายต่างเชื่อมั่นอย่างสูง ว่ามีส.ส.อยู่ในมือมากกว่า และพร้อมเปิดศึกชิงนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งต้องใช้เสียงเกินครึ่งของส.ส.ที่มีอยู่ทั้งหมดในสภาฯ

อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าว(29 ส.ค.68) ว่า พรรคภูมิใจไทย รวมเสียงจากพรรคต่างๆได้กว่า 280 เสียงแล้ว? ประกอบด้วย ภูมิใจไทย 69 เสียง ประชาชน 143 เสียง กล้าธรรม 25 เสียง พลังประชารัฐ 20 เสียง ประชาธิปัตย์ 4 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ กลุ่มนายสุชาติ ชมกลิ่น 16 คน พรรคเล็ก 4 เสียง พรรคไทยสร้างไทย 2 เสียง และพรรคเป็นธรรม 1 เสียง

รวมทั้ง มีกระแสข่าวว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในภาคอีสาน จำนวน 15 คน จะยกมือโหวตสนับสนุนให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากไม่เชื่อมั่นเสถียรภาพของรัฐบาลที่คะแนนนิยมตกต่ำ และประสบปัญหาเรื่องการดูแลส.ส.ไม่ทั่วถึง

จากตัวเลขดังกล่าว มีการนำมาเปรียบเทียบ โอกาสที่ “อนุทิน” จะชนะโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี คือ ส.ส.ที่มีอยู่ทั้งหมดในสภาผู้แทนฯ 492 เสียง จำนวนที่จะชนะโหวตกึ่งหนึ่ง หรือครึ่งหนึ่งคือ 247 เสียง

ประเด็นที่น่าคิด ว่าเพราะเหตุใด พรรคภูมิใจไทย จึงสามารถรวบรวมเสียงได้อย่างมาก ในเวลาอันรวดเร็ว ส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะทุกพรรคการเมืองรู้ว่า พรรคประชาชนประกาศไม่ขอร่วมรัฐบาล หรือ ไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี จึงทำให้โควตารัฐมนตรีของพรรคประชาชน ดึงดูดใจหลายพรรคการเมือง แม้ในเวลาอันสั้น

 ทั้งยังมีกระแสข่าวต่อรองเก้าอี้ใหญ่เอาไว้แล้ว อย่าง กรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จากพรรคกล้าธรรม ขอตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขอตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอเก้าอี้รัฐมนตรีแรงงาน เป็นต้น

ขณะที่เสียงของฝ่ายพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาลเดิม ซึ่งมี 10 พรรคร่วมรัฐบาล มีเสียงส.ส.ในมือ 255 เสียง

 ประกอบด้วย เพื่อไทย 142 เสียง รวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง กล้าธรรม 26 เสียง ประชาธิปัตย์ 25 เสียง ชาติไทยพัฒนา 10 เสียง ประชาชาติ 10 เสียง ชาติพัฒนา 3 เสียง ไทยรวมพลัง 2 เสียง เสรีรวมไทย และประชาธิปไตยใหม่ พรรคละ 1 เสียง

นี่คือ ตัวเลขที่เหนียวแน่นที่สุด ไม่มีใครแหกคอก แม้แต่พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ยังยึดตัวเลขเต็มจำนวนหลังร่วมรัฐบาล

ดังนั้น ถ้ากระแสข่าวตัวเลขส.ส.ที่สนับสนุน “อนุทิน” ทะลุ 280 จริง โอกาสที่พรรคเพื่อไทย จะแพ้โหวตในสภาฯ ก็มีความเป็นไปได้สูง ไม่ว่า พรรคเพื่อไทย จะเสนอ นายชัยเกษม นิติสิริ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีรายชื่อพรรคคนสุดท้าย หรือ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคอื่นที่ร่วมรัฐบาลก็ตาม หรือพูดง่ายๆ “อนุทิน” นอนมา

 ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้น่าวิเคราะห์อย่างยิ่ง ว่าพรรคเพื่อไทย จะยอมเสี่ยงปล่อยให้มีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีแข่งกับพรรคภูมิใจไทยในสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่

ในเมื่อพรรคเพื่อไทย มีไพ่อีกใบ ซึ่งถือเป็นใบสุดท้ายก็ว่าได้ นั่นคือ “ยุบสภา” แม้หลายคนเชื่อว่า พรรคเพื่อไทย ยังไม่พร้อมเลือกตั้ง เพราะกระแสค่อนข้างตกต่ำ

 แต่อย่าลืม พรรคเพื่อไทย ก็ไม่ต้องการปล่อยให้ “อนุทิน” เป็นนายกรัฐมนตรี เช่นกัน ยิ่งในทางการเมือง ที่ไม่เพียง พรรคเพื่อไทย กับ พรรคภูมิใจไทย เป็นศัตรูกันอย่างชัดแจ้ง หากแต่ในสนามเลือกตั้ง ยังเป็น “คู่แข่ง” ที่สำคัญอีกด้วย

อย่าลืมว่า การปล่อยให้ “อนุทิน” และพรรคภูมิใจไทย มีอำนาจ แม้เพียงแค่ 4 เดือน บวกช่วงรักษาการ หลังยุบสภาฯ ย่อมมีผลอย่างมากในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะยังอยู่ในฐานะผู้กุมอำนาจรัฐ

และอย่าลืมว่า “ในฐานะผู้กุมอำนาจรัฐ” นี่เอง คือสิ่งที่พรรคเพื่อไทย ก็ต้องการเช่นกัน ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว

นั่นหมายถึง แม้ว่า พรรคเพื่อไทยจะ “ยุบสภา” แต่ในฐานะรัฐบาลรักษาการ ก็ยังอยู่ในฐานะที่กุมอำนาจรัฐ

และต้องไม่ลืม “ทักษิณ ชินวัตร” เคยส่งสัญญาณเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ ว่า ถ้า “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย จะเสนอชื่อ นายชัยเกษม เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป และหากไม่ใช่นายชัยเกษม ก็ “ยุบสภา” คำพูด “ทักษิณ” น่าเชื่อถือหรือไม่ก็ลองคิดดู

ประเด็น จึงอยู่ที่ว่า นายกรัฐมนตรีรักษาการ “ยุบสภา” ได้หรือไม่ ซึ่งมีข้อถกเถียงอยู่พอสมควร โดยเฉพาะที่เห็นว่า “ยุบสภา” ไม่ได้ เพราะอำนาจ “ยุบสภา” เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการโหวตเลือกในสภาฯ เป็นอำนาจเฉพาะตัว ดังนั้นเมื่อ “แพทองธาร” พ้นจากนายกรัฐมนตรี ก็ต้องเลือก “นายกรัฐมนตรีคนใหม่” ในสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น

ส่วนหนึ่งตีความกฎหมายว่า อยู่ใน “พระราชอำนาจ” ซึ่ง นายกฯรักษาการ สามารถนำพระราชกฤษฎีกา “ยุบสภา” ขึ้นทูลเกล้าฯได้ แต่จะโปรดเกล้าฯหรือไม่ อยู่ที่ “พระราชอำนาจ”

เมื่อเป็นเช่นนี้ พรรคเพื่อไทย อาจต้องเสี่ยงที่จะมีผู้นำไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีคำวินิจฉัยเช่นกัน

 แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในมุมของพรรคเพื่อไทย อาจไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่า ไม่สามารถรักษาอำนาจเอาไว้ได้ ปล่อยให้ “อนุทิน” เป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคภูมิใจไทย คู่ขัดแย้งทางการเมือง กลับมาเป็นรัฐบาล เขี่ย “เพื่อไทย” เป็นฝ่ายค้าน ทั้งที่มีไพ่ใบสำคัญอยู่ในมืออีกแล้ว

จับตาดูให้ดี หรือ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทย จะยอม!?