'นักรัฐศาสตร์' ชี้เงื่อนไข ปชน. ส่อถูกฉีก เหตุ ทุกพรรคอยากอยู่ยาว

'นักรัฐศาสตร์' ชี้เงื่อนไข ปชน. ส่อถูกฉีก เหตุ ทุกพรรคอยากอยู่ยาว

"ดร.ปุรวิชญ์" ประเมิน เงื่อนไข "ปชน." ร่วมโหวตนายกฯ ส่อถูกบิด หลัง ทุกพรรคอยากอยู่ยาว หวังได้อำนาจคุมกลไกรัฐ ชิงได้เปรียบการเลือกตั้ง

ดร.ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้มุมมองต่อสถานการณ์ทางการเมืองหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้ทั้งพรรคเพื่อไทยและภาคภูมิใจไทย ชิงการเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล ว่า ทั้งพรรคเพื่อไทย และ พรรคภูมิใจไทย ตอบรับเงื่อนไขของพรรคประชาชน ทั้งการยุบสภา ภายใน 4 เดือน ก่อนยุบสภา และจัดการออกเสียงประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อปูทางไปสู่การเป็นรัฐบาล ทั้งนี้ตนมองว่าเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้วทุกพรรคย่อมต้องการที่จะอยู่ในอำนาจให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นสิ่งที่เคยรับปากไว้ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เช่นเดียวกันกับที่เคยเกิดขึ้นต่อกรณีการฉีกบันทึกความเข้าใจเมื่อปี 2566 พรรคก้าวไกลในขณะที่กำลังพยายามจัดตั้งรัฐบาลและเกิดการข้ามขั้วในที่สุด
 
“การตอบรับเงื่อนไขเหล่านี้ โดยเฉพาะเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเพียงการต่อรองกันทางการเมืองเท่านั้น เพราะรูปธรรมที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดกว่าสองปีที่ผ่านมาคือ มีเพียงพรรคประชาชนที่เอาจริงเอาจังกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะที่พรรคเพื่อไทยติดอยู่แค่ขั้นตอนของการตีความ และพรรคภูมิใจไทยก็แทบมองไม่เห็นการขับเคลื่อนเหล่านี้ จึงไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นเพราะยังไม่เห็นเจตจำนงที่จะผลักดันร่วมกันโดยถ้วนหน้าจากทุกฝ่ายทางการเมือง” ดร.ปุรวิชญ์ กล่าว

ดร.ปุรวิชญ์ กล่าวต่อว่า  รัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้นจะมีอายุสั้นมาก เนื่องจากเสถียรภาพทางการเมือง เสียงมีความกระจัดกระจาย ไม่ว่าขั้วไหนก็คงไม่สามารถคุมเสียงได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ถึงแม้ว่าระยะเวลาจะสั้นแต่ก็เพียงพอที่จะเข้าควบคุมกลไกรัฐได้ทั้งหมด จึงเป็นผลดีต่อการเลือกตั้งในอนาคต ไม่ว่าพรรคไหนก็อยากเลือกตั้งตอนที่ตัวเองอยู่ในอำนาจ

“สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือทั้งเพื่อไทยและภูมิใจไทย หวังจะออกนโยบายลดแลกแจกแถม เพื่อนำไปสู่การหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งถัดไป เพราะรู้ว่าอายุรัฐบาลใหม่เหลือไม่มาก ส่วนตัวคิดว่ากว่าที่รัฐบาลใหม่จะเข้าทำงานได้ก็คงเป็นช่วงปลายเดือน ก.ย. หรือ ต้นเดือน ต.ค. นี้ ซึ่งทันพอดีกับการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2569 และหลังจากนั้นจะเป็นช่วงเวลาของการเบิกจ่ายทำผลงานสร้างคะแนนนิยมกันอย่างแน่นอน” ดร.ปุรวิชญ์ กล่าว

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อว่า หากยุบสภาขึ้นในเวลานี้ ผู้ที่บาดเจ็บหนักที่สุดคือพรรคเพื่อไทย เพราะนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ได้ทำให้ความไว้วางใจของประชาชนสูญสิ้น และโพลคะแนนความนิยมของรัฐบาลก็ตกต่ำเป็นประวัติการณ์ ยังไม่นับว่านโยบายเรือธงจำนวนมากก็ไม่ประสบความสำเร็จได้อย่างที่ให้ความหวังไว้

ส่วนข้อถกเถียงเรื่องอำนาจของ นายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี จะมีอำนาจในการยุบสภาหรือไม่ นักวิชาการธรรมศาสตร์ มองโดยเชื่อว่าไม่สามารถยุบได้ เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ให้นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำให้พระมหากษัตริย์ทรงตราพระราชกฤษฎีกายุบสภา

"ตอนนี้เราไม่มีนายกฯ แต่มีผู้ปฎิบัติหน้าที่แทนนายกฯ คำถามแบบหลักรัฐศาสตร์เบื้องต้นเลยก็คือ คำว่านายกรัฐมนตรีกับผู้ปฎิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี มีอำนาจเทียบเท่ากันหรือไม่ มากไปกว่านั้นคือยังไม่เคยมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน ที่รักษาการนายกฯ จะมาดำเนินการยุบสภา และเมื่อสืบค้นต่อไปว่าเคยมีประเทศไหนในโลกหรือไม่ที่เป็นประชาธิปไตยแบบรัฐสภาและมีรักษาการนายกฯ ยุบสภาในช่วงการเมืองอยู่ในสภาวะสุญญากาศ ก็ยังค้นไม่เจอ" นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าว

ดร.ปุรวิชญ์ กล่าว ยังกล่าวต่อไปอีกว่า กลไกที่ฝังเอาไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ได้เปิดช่องให้เกิดสิ่งที่เรียกว่านิติสงครามเพื่อใช้กฎหมายเล่นงานฝ่ายตรงข้าม หนึ่งในนั้นคือความผิดเรื่องการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงที่ตีความได้กว้างขวาง และส่วนตัวกล้ายืนยันว่า น.ส.แพทองธาร จะไม่ใช่รายสุดท้ายที่โดนแต่จะมีเพิ่มเข้ามาอีก เพราะได้เล็งเห็นถึงอิทธิฤทธิ์ของความผิดฐานนี้แล้วว่าสามารถทำให้นายกรัฐมนตรีต้องหลุดออกจากตำแหน่งได้ง่ายๆ ถึงสองคน และนี่คือหนึ่งในตัวอย่างที่รัฐธรรมนูญปี 2560 ได้ออกแบบไว้ ซึ่งทำให้ศักยภาพทางการเมืองของสังคมไทยเกิดความไม่แข็งแรง จนทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่มีเสถียรภาพเพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาระยะยาวให้กับประเทศได้