เปิดเส้นทาง 'โหวตนายกฯ' คนที่32 'มุมน้ำเงิน' เป็นต่อ 'มุมแดง'

สภาฯนัดประชุมพิเศษ สัปดาห์หน้า เตรียมโหวต นายกฯ คนใหม่ สัญญาณที่ส่งมา คือ "พท." เร่งปิดเกม ก่อนถูก "ภท." ตีท้ายครัว เมื่อนับคณิตศาสตร์การเมือง มุมน้ำเงินยามนี้เป็นต่อ
KEY
POINTS
- สภาฯ เตรียมเปิดประชุมพิเศษระหว่างวันที่ 3-5 ก.ย. เพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 แทน "แพทองธาร ชินวัตร"
- ผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นนายกฯ ต้องได้เสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร หรือ 246 เสียง จาก สส. ทั้งหมด 492 คน
- การแข่งขันเป็นการชิงตำแหน่งระหว่างขั้ว "มุมน้ำเงิน" นำโดยอนุทิน ชาญวีรกูล และขั้ว "มุมแดง" ของพรรคเพื่อไทย
- ฝ่าย "มุมน้ำเงิน" ของอนุทินมีแนวโน้มได้เปรียบ โดยคาดว่ารวบรวมเสียง สส. ได้แล้ว 292 เสียง ซึ่งเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสภาฯ
- ทว่าเกมการเมือง เรื่องของคณิตศาสตร์ตัวเลข ย่อมพลิกกันได้ จนนาทีสุดท้าย
สำนักงานเลขาธิการสภาฯ โดย “ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์” ออกหนังสือด่วนมาก ที่ สผ 0014/ผ 93 เมื่อช่วงเย็น 29 ส.ค. ตามคำสั่งของ "วันมูหะมัดนอร์ มะทา" ประธานสภาฯ ให้เชิญ สส. ประชุมเป็นพิเศษ ในสัปดาห์หน้า วันใดวันหนึ่ง ระหว่างวันที่ 3-5 ก.ย. 9.00 น. เป็นต้นไป
แม้ว่าการเจรจาเพื่อจัดขั้ว “รัฐบาลชุดใหม่” หลังจาก “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นจากตำแหน่งนายกฯ คนที่31 ตามคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” เมื่อ 29 ส.ค. ยังไม่สะเด็ดน้ำ
เลขาธิการสภาฯ ให้สัมภาษณ์สั้นๆ ว่า เพื่อเตรียมพร้อม “สภาฯ” ต่อการโหวต นายกฯ คนใหม่ จึงออกหนังสือนัดประชุม เพื่อเตรียมไว้เท่านั้น
ทว่าการนัดประชุมวาระพิเศษ สัปดาห์หน้าแบบฉบับพลันทันด่วน ตามคำสั่งของ "วันนอร์" ถือว่าเป็นสัญญาณ ที่ “ขั้วรัฐบาลเก่า” ส่งออกมา เพื่อชิงความได้เปรียบ และต้องการสื่อให้เห็นว่าต้องการ "ปิดดีล" ให้เสร็จโดยไว ก่อนที่จะถูก “เพื่อนรัก” ตีท้ายครัวไปมากกว่านี้
สำหรับกระบวนการเลือก “นายกฯ” คนใหม่ ตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้ ให้เป็นสิทธิของ “สภาผู้แทนราษฎร” ที่ต้องเลือก “แคนดิเดตนายกฯ” ในบัญชีของพรรคการเมืองที่มีจำนวนสส.ไม่น้อยกว่า 5% ของจำนวน สส.เท่าที่มีอยู่ของสภาฯ ปัจจุบันมี สส. 492 คน ดังนั้นแคนดิเดตที่เข้าเกณฑ์ ต้องมี สส. ในพรรค 25 คน
ปัจจุบันมี “แคนดิเดตนายกฯ” ที่เข้าเกณฑ์ ตามลำดับ จำนวน สส.มาก ไปหาน้อย ได้แก่
1.ชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย
2.อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย
3.พล.อ.ประยุทธ์ จันท์โอชา องคมนตรี (แต่หากจะรับเก้าอี้ นายกฯ ต้องลาออกจากตำแหน่ง เพื่อไม่ให้ขัดคุณสมบัติ ตามมาตรา 98(12) ต้องไม่เป็นข้าราชการที่มีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ ซึ่งสามารถลงออกหลังจากที่ สภาฯ ลงมติได้)
4.พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จากพรรครวมไทยสร้างชาติ
และ 5.จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ จากพรรคประชาธิปัตย์
และตามกระบวนการที่รัฐธรรมนูญ 159 กำหนดไว้ เมื่อเปิดประชุมสภาฯ แล้ว ต้อง 1.มีการเสนอชื่อแคนดิเดต ต่อที่ประชุมสภาฯ โดยกำหนดให้มีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสมาชิกที่มีอยู่ของสภา หรือ49 คน (ปัจจุบันมี สส.ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 492 คน)
ขณะที่การปฏิบัติของสภาฯ จะให้ “สส.” แสดงการรับรอง ผ่านการเสียบบัตรและกดปุ่มแสดงตน
กรณีนี้ ไม่ได้กำหนดว่าจะเสนอกันกี่ชื่อ เท่ากับเปิดโอกาสให้ “แข่งขัน” กันได้ในส่วนของพรรคการเมือง หรือ แม้หากเสนอชื่อเพียงชื่อเดียว ต้องดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
คือ 2. ลงคะแนนโดยเปิดเผย ด้วยการ “ขานชื่อ-ลงมติ” สส.ทีละคน เรียงตามลำดับตัวอักษร หากเสนอชื่อคนเดียว จะต้องขานลงมติว่า “เห็นชอบ” หรือ “ไม่เห็นชอบ” แต่หากมีเกินกว่าชื่อเดียว ต้องเอ่ยชื่อบุคคลที่ถูกเสนอต่อสภาฯ
สำหรับมติเห็นชอบต้อบได้คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาฯ คือ 246 เสียง
และเมื่อสภาฯ ลงมติครบถ้วนแล้ว 3.ให้ประธานสภาฯ ประกาศว่า บุคคลใดที่ได้รับความเห็นชอบจากมติของสภาฯ แล้วดำเนินการตามขั้นตอนทูลเกล้าฯ ต่อไป
ขณะเดียวกันนั้น สำนักการประชุมสภาฯ ได้แจ้งยอด สส.ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ รวม 492 คน จาก 16 พรรคการเมือง แบ่งเป็น พรรคร่วมฝ่ายค้าน 5 พรรค คือ พรรคประชาชน 143 คน พรรคภูมิใจไทย 69 คน พรรคพลังประชารัฐ 20 คน พรรคไทยสร้างไทย 6 คน และ พรรคเป็นธรรม 1 คน
ส่วนพรรคร่วมรัฐบาล 11 พรรค ได้แก่ พรรคเพื่อไทย 140 คน พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 คน พรรคกล้าธรรม 25 คน พรรคประชาธิปัตย์ 25 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 10 คน พรรคประชาชาติ 9 คน พรรคชาติพัฒนา 3 คน พรรคไทรวมพลัง 2 คน พรรคเสรีรวมไทย 1 คน พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 คน และ พรรคไทก้าวหน้า 1 คน
ทว่าหลังคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้ “แพทองธาร” พ้นจากนายกฯ และ ครม.ต้องพ้นไปทั้งคณะ มีการเปิดดีลการเมืองขั้วใหม่ จากฝั่ง “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่รวมเสียงแข่งกับ “แคนดิเดตจากเพื่อไทย”
เมื่อประเมินจากการแถลงที่ชัดเจน ฝั่งผู้ท้าชน “มุมน้ำเงิน” พรรคภูมิใจไทย ที่มี 69 เสียง จะได้เสียงสนับสนุนจาก พรรคประชาชน 143 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 20 เสียง พรรคไทยสร้างไทย 3 เสียงใน 6 เสียง (3สส.-รำพูล ตันติวณิชชานนท์ สส.อุบลราชธานี ฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ สุภาพร สลับศรี สส.ยโสธร ร่วมงานกับ เพื่อไทย) พรรคกล้าธรรม 25 เสียง-กลุ่มพรรคเล็ก 5 เสียง-พรรคเป็นธรรม 1 เสียง-พรรครวมไทยสร้างชาติ 16 เสียง จากกลุ่ม สุชาติ ชมกลิ่น-กลุ่มเพื่อน สส.ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย 10 เสียง รวมเป็น 292 เสียง ถือว่าเกินครึ่งของสภาฯ
ขณะที่ ฝ่ายป้องกันแชมป์ “มุมสีแดง” จะได้เสียงสนับสนุนประมาณ 196 เสียง มากจาก “พรรคเพื่อไทย” ประมาณ 130 คน จากจำนวน สส. 140 คน เพราะ "กลุ่มศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์” ประกาศหนุน “อนุทิน” ไปแล้ว พรรครวมไทยสร้างชาติ 20 คน จากกลุ่มของ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค-เอกนัฎ พร้อมพันธุ์” พรรคประชาธิปัตย์ 21 คนในกลุ่ม “หัวหน้า-เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ส่วน 4 คน “ขั้วชวน หลีกภัย” ยังสงวนท่าที พรรคชาติไทยพัฒนา 10 คน พรรคประชาชาติ 9 คน พรรคชาติพัฒนา 3 คน พรรคไทยสร้างไทย 3 คน
ดังนั้นหากตัวเลขคณิตศาสตร์ นิ่ง และเป็นไปตามนี้ เท่ากับว่าสัปดาห์หน้า ในวันใดวันหนึ่ง ระหว่าง วันที่ 3-5 ก.ย. สภาฯ จะเปิดประชุมนัดพิเศษ เพื่อโหวต “นายกฯ” คนใหม่ ลำดับที่32 ในสภาชุดที่26 เป็นรอบที่5 จะเริ่มขึ้น







