เหตุผลนายกฯ ตกเก้าอี้ ศาลชี้รักษาสัมพันธ์ ฮุน เซน มากกว่าประโยชน์ชาติ

การเปิดด่านเพื่อ ฮุน เซน มากกว่าผลประโยชน์ชาติ เนื่องจากต้องการรักษาสัมพันธ์ส่วนตัวกับฮุน เซน โดยมุ่งหวังถึงแต่เพียงการจะทำให้คะแนนนิยมของผู้ถูกร้องดีขึ้น
KEY
POINTS
- ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 วินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
- คำวินิจฉัยมีสาเหตุหลักจากคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน ซึ่งศาลรับฟังเป็นพยานหลักฐานสำคัญ
- ศาลชี้ว่าเนื้อหาการสนทนาแสดงให้เห็นว่านายกฯ ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ส่วนตัวกับฮุน เซน และผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง มากกว่าผลประโยชน์ และความมั่นคงของชาติ
- พฤติการณ์ที่เข้าข่ายฝ่าฝืนจริยธรรมคือ การใช้ถ้อยคำที่พร้อมจะดำเนินการตามข้อเรียกร้องของกัมพูชาโดยไม่มีเงื่อนไข และแสดงความอ่อนแอทางการเมืองให้ฝ่ายกัมพูชาทราบ
เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2568 ศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำวินิจฉัย เรื่องพิจารณาที่ 18/2568 คดีกล่าวหาความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.วัฒนธรรม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ จากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
โดยศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง นายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ คือ 1 ก.ค.2568 เนื่องจากผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง
สำหรับเหตุผลของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ระบุตอนหนึ่งว่า ศาลมีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย เนื่องจากเป็นบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แม้จะมีการกล่าวอ้างถึงกรณีสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเคยมีการศึกษาเรื่องศาลรัฐธรรมนูญไทย กับฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางศาลรัฐธรรมนูญในต่างประเทศ จำกัดแนวทาง ไม่วินิจฉัยดุลพินิจทางการเมือง เพื่อให้การเมืองตรวจสอบกันเอง โดยเฉพาะกลไกทางการเมือง
แต่การพิจารณาวินิจฉัยครั้งนี้ ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญที่ผู้ร้อง (สว.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของ น.ส.แพทองธาร ที่สนทนากับฮุน เซน ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์ ขาดคุณสมบัติหรือไม่ ซึ่งเป็นบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มิใช่เป็นการใช้ดุลพินิจระหว่างประเทศ ไม่ถูกตรวจสอบการใช้อำนาจโดยองค์กรศาล แต่เป็นเรื่องกระบวนการทางการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยคดีรัฐธรรมนูญ ตามที่บัญญัติไว้ แต่ไม่มีอำนาจวินิจฉัยคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญาแต่อย่างใด ดังนั้นคดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแต่ในส่วนว่าผู้ถูกร้อง ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
นอกจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญ ยังรับฟังพยานหลักฐานสำคัญคือ “คลิปเสียง” สนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร และฮุน เซน ไว้เป็นพยานหลักฐาน แม้จะถูกร้องว่าเป็นคลิปเสียงที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเจ้าตัวไม่ยินยอมให้มีการบันทึกเอาไว้ก็ตาม โดยศาลเห็นว่า ศาลได้ให้โอกาสผู้ถูกร้องสืบพยาน หักล้างพยานหลักฐานไปแล้ว รวมถึงผู้ถูกร้องได้เบิกความ และชี้แจงยอมรับว่าบุคคลในคลิปเป็นตัวเองจริง นอกจากนี้ยังมีภาพ และเสียงที่ชี้แจงต่อสื่อที่ทำเนียบรัฐบาล ปรากฏถ้อยคำว่า “เป็นคลิปจริงที่คุยกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เมื่อผู้นำ 2 ท่านคุยกัน อัดคลิป แน่นอนว่าฉันไม่ได้ปล่อย ก็ตามนั้นค่ะ”
ผู้ถูกร้องรับว่าเป็นคนในคลิปจริง แม้จะโต้แย้งว่า เป็นพยานหลักฐานได้มามิชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่มีกฎหมายห้ามรับฟังไว้โดยเฉพาะ และผู้ถูกร้องไม่ได้ปฏิเสธว่า ถูกขู่เข็ญ หลอกลวง หรือกระทำการมิชอบในการสนทนาในคลิปเสียงแต่ประการใด ดังนั้นคลิปเสียงดังกล่าวจึงเป็นพยานหลักฐานสำคัญ พิสูจน์ได้ว่า ผู้ถูกร้องกระทำการตามที่ถูกร้องหรือไม่ การรับฟังคลิปเสียงเป็นพยาน เพื่อให้ข้อเท็จจริงถูกต้องในคดี เพื่ออำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสีย อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ให้โอกาสนำพยานหลักฐานมาโต้แย้ง จึงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องได้กล่าวถ้อยคำตามที่ปรากฏในคำร้องจริง บทสนทนาที่ถูกร้องที่กล่าวเป็นภาษาไทย จึงไม่ต้องแปลเพื่อยื่นศาล ดังนั้นศาล จึงรับฟังคลิปเป็นพยานหลักฐานได้
ส่วนพฤติการณ์ต่างๆ ของผู้ถูกร้องนั้น ศาลเห็นว่า รัฐธรรมนูญ วางหลักการไว้ชัดเจนว่า รัฐมนตรีต้องซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มิใช่เรียกร้อง ให้ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี มีคุณธรรมตามความเห็นของตนเองเท่านั้น แต่ยังหมายความว่า ผู้ดำรงตำแหน่งต้องแสดงออกถึงความสุจริตอย่างเปิดเผย โปร่งใส และเป็นที่ยอมรับต่อสาธารณะ มีลักษณะเป็นที่ประจักษ์ อันบ่งบอกว่าต้องรับรู้ และปรากฏชัดเจนในสังคม ใช้หลักการตีความจากพฤติกรรม มีข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอ บ่งชี้เจตนาไม่สุจริต หรือพฤติการณ์บิดเบือนผลประโยชน์ของชาติหรือไม่
การพิจารณาประเด็นซื่อสัตย์สุจริต ต้องพิจารณาบริบทของความได้สัดส่วน และความจำเป็น มิให้ผู้มีประพฤติเสื่อมเสียใช้อำนาจของรัฐ แม้พฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต เป็นหลักคุณธรรมพื้นฐานที่คนทั่วไปพึงยึดมั่น ไม่ว่าอยู่สถานะใด ยิ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งที่ใช้อำนาจสาธารณะ ยิ่งต้องเรียกร้องให้ยึดถือ แต่เนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งใช้อำนาจรัฐ อยู่ภายใต้ลักษณะของหน้าที่ภารกิจแตกต่างกัน การตีความกฎหมาย ใช้ถ้อยคำเพียงลายลักษณ์อักษรย่อมไม่เหมาะสม ต้องพิจารณาประกอบกับบริบทอันปกติของการปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งนั้น
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ระหว่างผู้ถูกร้องกำลังเจรจากับฮุน เซน นั้น สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาตึงเครียดอย่างสูง แม้มีช่องทางพิจารณาทางการ ผ่านการประชุม JBC ร่วมกันเมื่อ 14 มิ.ย.2568 แล้วก็ตาม แต่ฮุน เซน กลับแถลงกดดันไทยให้เปิดด่านผ่านแดน ตอบโต้ห้ามนำสินค้า น้ำมัน หรือเรียกแรงงานกัมพูชากลับจากไทย จุดยืนดังกล่าวไม่สอดคล้องกับผลการประชุม JBC ซึ่งมีการตกลงกันไว้ เมื่อผู้ถูกร้องใช้ช่องเจรจาไม่เป็นทางการ ผู้ถูกร้องจึงใช้ช่องทางคุยกับสมเด็จฮุน เซน
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกร้องตอบรับข้อเสนอ หรือความต้องการใดของฮุน เซน อีกทั้งการเจรจาดังกล่าว ไม่ก่อให้เกิดผลเปลี่ยนแปลงต่อสถานการณ์ดำรงตำแหน่งของแม่ทัพภาคที่ 2 รวมทั้ง ไม่มีผลต่อการเปิดหรือปิดด่านตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา อันแสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกร้องมิได้ยินยอมตามข้อเสนอ การรักษาดุลแห่งผลประโยชน์แห่งชาติ การถือว่าไม่ซื่อสัตย์สุจริต จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอรับฟัง
เมื่อผู้ถูกร้องยังคงมีเจตนายึดถือผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง เพื่อป้องกันมิให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง กระทบกระเทือนเอกราช อธิปไตย ที่ไทยมีสิทธิอธิปไตย และความมั่นคงบริเวณแนวชายแดนไทยกัมพูชา มิได้ยอมรับข้อเสนอ อันบ่อนทำลายผลประโยชน์ชาติ การเจรจาดังกล่าวเป็นการแสดงออกถึงการไม่นิ่งเฉยถึงปัญหา และเป็นการพยายามดำเนินการเพื่อช่วยธำรงผลประโยชน์ชาติ มีเจตนารักษาความสงบสุขของประชาชนในประเทศ เป็นหน้าที่ประการหนึ่งของผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ พึงกระทำ การกระทำของผู้ถูกร้อง ยังไม่มีลักษณะเป็นผู้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
อย่างไรก็ดีประเด็นว่า มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่นั้น พิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งนายกฯ มีฐานะหัวหน้ารัฐบาล จึงเปรียบเสมือนบุคคลที่มี 2 สถานะตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่ง 1.ประชาชน ที่มีเสรีภาพในการกระทำ ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2.ในฐานะนายกฯ ซึ่งต้องถูกจำกัดเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญ และกฎหมายบัญญัติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความมั่นคงของประเทศ รัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหาร ต้องดูแลผลประโยชน์ประเทศ เหนือผลประโยชน์ส่วนตน การบริหารราชการแผ่นดิน มิใช่บริหารราชการส่วนตัว ตำแหน่งนายกฯ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร มีอำนาจหน้าที่เป็นตัวแทนไทยติดต่อนานาประเทศ มีหน้าที่ และอำนาจกำหนดบริหารประเทศ รักษาปกป้องผลประโยชน์ รักษาอธิปไตย ศักดิ์ศรีเกียรติภูมิ นายกฯ จึงมีอำนาจตัดสินใจ และบริหารงานเพื่อประโยชน์ของประเทศ และประชาชน
ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องสนทนากับฮุน เซน เรื่องเกี่ยวกับเปิดปิดด่านบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา สืบเนื่องจากเหตุปะทะบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี การสนทนาดังกล่าวแม้จะทำในช่วงเวลาส่วนตัวของผู้ถูกร้อง และเรียกว่าเป็นการเจรจาแบบส่วนตัวก็ตาม แต่เนื้อหามีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเปิด-ปิดด่านไทยกัมพูชา อันเป็นความมั่นคงของประเทศ ไม่ใช่สนทนาส่วนตัวทั่วไประหว่างผู้ถูกร้องกับฮุนเซน จึงไม่ใช่กระทำส่วนตัวในฐานะประชาชน หากแต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกฯ ซึ่งต้องไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
เมื่อพิจารณาถ้อยคำ ประกอบบริบทการสนทนา ส่วนที่กล่าวถึง มทภ.2 ซึ่งผู้ถูกร้องชี้แจง และเบิกความว่า เป็นการใช้เทคนิคเจรจา แบ่งแยกปัญหาออกจากบุคคล แยกบทบาทฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคง มุ่งหมายลดความตึงเครียด เห็นว่า บทสนทนาดังกล่าว ระบุถึงตนเองกับฮุน เซน รวมกันเป็นฝั่งหนึ่งเรียกว่า “เรา” และเรียก มทภ.2 ว่า “ฝั่งตรงข้ามกับเรา” รวมทั้งตำหนิ มทภ.2 ว่า พูดในสิ่งไม่เป็นประโยชน์
การที่ผู้ถูกร้องเป็นนายกฯ เป็นผู้บังคับบัญชา มทภ.2 แต่ในการเจรจากับฮุน เซน แม้ชี้แจงเบิกความว่า เป็นผู้มีอิทธิพลในกัมพูชา และเป็นบิดา ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา ติดต่อกันได้ตลอด ในช่วงเกิดสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา พฤติการณ์สะท้อนให้เห็นว่า มีการแบ่งข้างเชิงความคิดด้านความมั่นคงของประเทศ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา และความไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาล และกองทัพ ที่กล่าวออกไปวิญญูชนเข้าใจได้ว่า เปิดเผยลักษณะอ่อนแอทางการเมืองในประเทศ ให้กัมพูชาทราบ หากถูกเผยแพร่ถึงกัมพูชา จะเปิดช่องให้กัมพูชานำข้อมูลดังกล่าว มาใช้แทรกแซงกิจการภายในของประเทศได้
แม้การเจรจาเปิดด่านชายแดนไทยกัมพูชา ผู้ถูกร้อง ชี้แจงว่า กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์ขั้นตอน สำหรับวิธีการไม่เป็นทางการ ลักษณะสายตรง และผู้ถูกร้องไม่มีเจตนาดำเนินการตามเงื่อนไขทุกกรณี เนื่องจากต้องนำไปพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคง ต้องตัดสินใจก่อน เจตนาให้คู่เจรจาเสนอเงื่อนไข หรือความต้องการออกมา เป็นหลักการสำคัญเจรจาเชิงผลประโยชน์ ตั้งคำถาม หากความต้องการแท้จริง ในลักษณะไม่โจมตีจุดยืนผู้เจรจา แต่ต้องการให้ทำความเข้าใจผู้อยู่เบื้องหลัง เพื่อเจรจาเงื่อนไขต่อไป
ผู้ถูกร้องทราบดีอยู่แล้วว่า ตามคำชี้แจงของผู้ถูกร้องเองว่า ฮุน เซน ไม่ใช่ผู้นำกัมพูชาที่กระทำการอันก่อให้เกิดผลนิติผูกพัน ระหว่างรัฐ และเมื่อสนทนากับฮุน เซน ยังได้คุยกับฮุน มาเนต ด้วย ดังนั้นกรณีจึงเป็นเรื่องที่ผู้ถูกร้องประสงค์ใช้ช่องทางเจรจา ทั้งไม่ทางการ และทางการ ควบคู่กันไป
อย่างไรก็ดีไม่ว่าใช้เทคนิคเจรจาใด จะต้องปฏิบัติตามกรอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ที่ ครม.ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม ความผาสุกของประชาชนโดยรวม และรัฐธรรมนูญ มาตรา 54 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ ครม.ต้องปฏิบัติหน้าที่รอบคอบ ดำเนินกิจการต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ และส่วนรวม คำนึงกรอบมาตรฐานทางจริยธรรมฯ หาใช่ว่าเจรจาอิสระ เป็นไปตามอำเภอใจแต่อย่างใด
กรณีผู้ถูกร้อง เป็นการเจรจาความมั่นคงของประเทศ ทราบดีว่าการเจรจาจะต้องดำเนินการ โดยมีหน่วยงานเกี่ยวข้องบันทึกข้อมูล มีหน่วยงานรักษาความปลอดภัยร่วมด้วย เมื่อเลือกเจรจาเช่นนี้ คือ การเลือกเอาผลประโยชน์ส่วนรวมสนทนากับฮุน เซน ที่รู้จักกันมาก่อนเป็นการส่วนตัว ยิ่งต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และใช้ความรอบคอบ ระมัดระวังในการเจรจาผลประโยชน์ชาติมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ถ้อยคำว่า “...ให้ท่านฮุน เซน เห็นใจหลานหน่อย คนในประเทศไล่เราไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว จริงๆ ถ้าท่านอยากได้อะไรท่านบอกมาได้เลย เดี๋ยวจัดการให้...”
นอกจากนี้ผู้ถูกร้องยังแสดงยอมตน หรือยอมจำนนล่วงหน้าให้ฮุน เซน และยินดีดำเนินการให้อย่างไม่มีเงื่อนไข หรือกำหนดขอบเขตการเจรจาต่อรอง หรือรักษาจุดยืนรักษาผลประโยชน์ของชาติ แต่กลับเปิดช่องให้กัมพูชา หยิบยื่นข้อเรียกร้องต่อฝ่ายไทยได้ตามความต้องการ มีลักษณะยืนยันว่าฝ่ายไทย หรือผู้ถูกร้อง พร้อมเปิดด่านชายแดน ทั้งที่ทราบดีว่า การประชุม สมช. เมื่อ 6 มิ.ย.2568 มีมติให้กองทัพพิจารณาตามกฎหมาย ควบคุมจุดผ่านแดนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของรัฐบาล พิจารณาจากเบาไปหนัก เป็นต้น
นอกจากนี้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่ผู้ถูกร้อง คุยกับฮุนเซน ยังไม่มีทีท่าจะลดระดับความรุนแรงแต่อย่างใด โดยเมื่อ 9 มิ.ย.2568 ก็ทราบผ่านรายงานกองบัญชาการกองทัพไทย เสนอ สมช. ขอให้ สมช.เสนอมาตรการแก้ไขอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ค้ามนุษย์ และบ่อนพนันในกัมพูชา เข้า สมช. โดยเร่งด่วน นอกจากนี้ยังเสนอยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปราม การตัดไฟ การระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่เป็นบ่อนการพนัน ควบคุมสินค้า และยุทโธปกรณ์ที่อาจนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรม และต้องให้ กต.ชี้แจงว่า การประชุม JBC ครั้งที่ 6 ที่จัดขึ้นระหว่าง 14-15 มิ.ย.68 เป็นการเจรจาทางการ โดยจะนำพื้นที่ 4 จุดมาพิจารณา ขณะเดียวกันในการประชุม ICJ ไม่ได้หารือแผนที่ตามที่กัมพูชาอ้างแต่อย่างใด
ประกอบคำเบิกความของผู้ถูกร้องที่ว่า กรณีการปิดด่านชายแดนไทยกัมพูชา ไทยได้รับผลกระทบน้อยกว่ากัมพูชามาก ดังนั้นการเปิดด่านเพื่อฮุน เซน มากกว่าผลประโยชน์ชาติ เนื่องจากต้องการรักษาสัมพันธ์ส่วนตัวกับฮุน เซน ลดปัญหาวิจารณ์แก้ไขปัญหาชายแดน โดยผู้ถูกร้องมุ่งหวังถึงแต่เพียงการจะทำให้คะแนนนิยมของผู้ถูกร้องดีขึ้น นำไปสู่การมีศักยภาพรัฐบาล เป็นประโยชน์ทางการเมืองของตน โดยไม่ได้คำนึงถึงความมั่นคงในขณะนั้น อันเป็นผลประโยชน์ชาติอันเป็นที่ตั้งแต่อย่างใด
พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมทำให้วิญญูชนเคลือบแคลงสงสัยได้ว่า ผู้ถูกร้องยินยอมกระทำการตามฝ่ายกัมพูชา โดยไม่คำนึงถึงผล ประโยชน์ชาติ เพราะรู้จักกับฮุน เซน ส่วนตัว และดำเนินการเอื้อประโยชน์แก่กัมพูชา แม้ข้อเท็จจริงได้ความไต่สวนว่า หลังคุยกับฮุน เซน แล้วต่อมาเมื่อ 16 มิ.ย.2568 ผู้ถูกร้องได้เรียกประชุมฝ่ายความมั่นคงชุดเล็กที่บ้านพิษณุโลก แจ้งการหารือกับฮุน เซน ให้ทราบ แต่ไม่ได้แจ้งว่าคุยอะไรในข้อพิพาทในคดี ถือเป็นการปกปิดเพื่อไม่ให้ผู้เข้าร่วมประชุมทราบเจตนาที่แท้จริงของผู้ถูกร้อง ให้ได้รับความเสียหาย
ดังนั้น การกระทำของผู้ถูกร้อง ที่ขอความเห็นใจจากฮุน เซน จึงไม่ใช่เทคนิคการเจรจาตามที่กล่าวอ้าง แต่ปฏิบัติหน้าที่ขาดความรอบคอบ ระมัดระวัง ตามวิสัย และพฤติการณ์ดำรงตำแหน่งนายกฯ ควรต้องมีวิจารณญาณในการเลือกกระทำการ ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ตามหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 164 วรรคหนึ่ง (1)
เมื่อผู้ถูกร้องมีประโยชน์ส่วนตัว คือคะแนนนิยม เพื่อเสถียรภาพรัฐบาล ผู้ถูกร้องกลับไม่คำนึงถึง หรือยึดผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง การกระทำดังกล่าว เป็นการลดทอนหรือทำให้เสียหายซึ่งเกียรติภูมิ หรือเกียรติของนายกฯ และไทย เพราะความนิยม ซึ่งหมายความว่า เกียรติที่ได้รับการยกย่องจากสังคม หรือนานาชาติ และความนับถือของประเทศชาติ ในนายกฯ ซึ่งเป็นผู้นำของประเทศ มีลักษณะเป็นการให้พิทักษ์ไว้ซึ่งเกียรติภูมิ แต่ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเหนือกว่าผลประโยชน์ชาติ อันเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯ มีลักษณะร้ายแรง
แม้ผู้ถูกร้องกล่าวอ้าง และชี้แจงว่า เหตุการณ์คุยกับฮุน เซน เพื่อแก้ไขบ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบสุข โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต และทรัพย์สิน แต่ภาพลักษณ์ของนายกฯ ทำให้สาธารณชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า ผู้ถูกร้องจะทำการใด ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชา มากกว่าประโยชน์ของชาติ เป็นเหตุให้สาธารณชนขาดความเชื่อถือศรัทธานายกฯ ของไทย เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกร้อง เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของนายกฯ ไม่ยึดมั่นกฎหมาย และไม่คำนึงผลประโยชน์ชาติ
กรณีไม่จำเป็นต้องให้เกิดการปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา จึงถือว่าได้รับความเสียหาย อันมีลักษณะร้ายแรงแต่อย่างใด ดังนั้นการกระทำของผู้ถูกร้อง เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯ หมวด 2 ข้อ 17 และ 21 เมื่อประกอบเจตนาและความร้ายแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว เห็นได้ว่า มีลักษณะร้ายแรงตามข้อ 27 วรรคสองด้วย ผู้ถูกร้องจึงมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯอย่างร้ายแรง ขาดคุณสมบัติ และมีลักษณะต้องห้ามตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 165 ส่วนข้อกล่าวหาอื่นตามที่กล่าวมา ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนไป
ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาหารือร่วมกันแล้ว มีมติโดยเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) เสียงข้างมาก คือ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายอุดม รัฐอมฤต วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ คือ 1 ก.ค.2568
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







