ด่วน! มติศาล รธน. 6:3 สั่ง 'แพทองธาร' พ้นนายกฯ ผิดจริยธรรมร้ายแรง

ด่วน! ศาลรัฐธรรมนูญ มติ 6:3 เสียง วินิจฉัยให้ 'แพทองธาร ชินวัตร' พ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เซ่นปมคลิปเสียง 'ฮุน เซน' เหตุผิดจริยธรรมร้ายแรง
KEY
POINTS
- ศาลรัฐธรรมนูญมีมติวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
- สาเหตุมาจากกรณีคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งศาลเห็นว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
- คำสั่งให้พ้นตำแหน่งมีผลย้อนหลังนับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2568 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว
เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2568 เวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำวินิจฉัย เรื่องพิจารณาที่ 18/2568 คดีกล่าวหาความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.วัฒนธรรม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ จากกรณีคลิปเสียง สนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
โดยศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง นายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ คือ 1 ก.ค.2568 เนื่องจากผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาหารือร่วมกันแล้ว มีมติโดยเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) เสียงข้างมาก คือ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ ทะวานนท์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายอุดม รัฐอมฤต วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4)
โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 เสียง คือ นายปัญญา อุดชาชน นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ เห็นว่า ผู้ถูกร้องขาดคณสมบัติและมีลักษณะต้องต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5)
และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 เสียง คือ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม และนายอุดม รัฐอมฤต เห็นว่า ผู้ถูกร้องขาดคุณสมสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) ทั้งนี้ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธธรรมนูญ มาตรา 170 ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง คือ วันที่ 1 กรกฎาคม 2568
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 3 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายนภดล เทพพิทักษ์ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่า เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างไม่ร้ายแรง ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5)
เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (5) แล้ว รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 วรรคหนึ่ง (1) โดยให้นำมาตรา 168 วรรรคหนึ่ง (1) มาใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหตำแหน่งต่อไป
อย่างไรก็ดีวันนี้ (29 ส.ค.68) น.ส.แพทองธาร ได้มอบหมายตัวแทนเดินทางมาศาล ส่วนนายกฯ จะเดินทางเข้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ในเวลา 14.00 น. เพื่อติดตามรับชมการถ่ายทอดสด คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ โดยเจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า สำหรับให้รัฐมนตรีร่วมรับฟังการถ่ายทอดสดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญด้วย และ น.ส.แพทองธาร จะเดินลงมาทักทาย และร่วมรับฟังคำวินิจฉัยด้วย
จากนั้น น.ส.แพทองธาร จะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยเสร็จสิ้น ที่บริเวณโถงกลาง ภายในตึกไทยคู่ฟ้า ถัดจากนั้นเดินทางเข้าที่ทำการพรรคเพื่อไทยเพื่อพบปะกับ สส.แกนนำพรรค และแฟนคลับที่มารอให้กำลังใจ
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 1 ก.ค.2568 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์รับคำร้องไว้พิจารณา และมีมติข้างมาก 7 ต่อ 2 เสียง สั่ง น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย โดยหากนับถึงปัจจุบัน น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่มาแล้วเกือบ 2 เดือน และเป็นนายกฯ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวนานที่สุด
ต่อมาเมื่อ 21 ส.ค.2568 ได้ไต่สวนพยานบุคคลที่ศาลเรียกมาให้ถ้อยคำ 2 ปาก ได้แก่ น.ส.แพทองธาร กับนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และนัดส่งคำแถลงปิดคดีแก่ศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 25 ส.ค.68 ที่ผ่านมา
กรณีนี้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) รวม 36 คน เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) ว่า ปรากฏคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งผู้ถูกร้องแถลงข่าวยอมรับว่าเป็นเสียงการสนทนาของตนกับสมเด็จ ฮุน เซน จริง
แม้ผู้ถูกร้องจะแถลงข่าวในเวลาต่อมาว่า เป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัว โดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวลเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุข และอธิปไตยของไทยก็ตาม แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคำร้องเห็นว่า ผู้ถูกร้องแสดงออกถึงความนิ่งเฉย และไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบหรือกำหนดมาตรการรวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเอง ให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทำ เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ถูกร้องเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม
ผู้ถูกร้องไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 422 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







