'ยุทธพร' ประเมินคำตัดสินคดีถอดถอน 'แพทองธาร' โอกาส 50:50

"นักวิชาการรัฐศาสตร์" ประเมินคำตัดสิน "ศาลรธน." คดี "แพทองธาร"โอกาส 50:50 ออกได้หลายทาง ชี้หากรอดคดี ยังมีโจทย์ยากการเมืองรอยู่
ที่รัฐสภา นายยุทธพร อิสรชัย นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ให้สัมภาษณ์ถึงการประเมินคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญต่อคดีถอดถอน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ และรมว.วัฒนธรรม วันที่ 29 ส.ค. ว่า ออกไปได้ทุกทาง คือ 50 ต่อ 50 เพราะคำว่าซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่ รวมถึงคำว่าจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่นั้น เป็นคำที่เขียนไว้กว้าง ความหมายแตกต่างกัน สามารถวินิจฉัยออกมาได้ทั้งหมด อยู่ที่ศาลว่าจะรับพิจารณาทั้ง 2 ประเด็นดังกล่าวหรือไม่ และนายกฯ ก็ต้องผ่านพ้นให้ได้ทั้ง 2 ประเด็น จึงจะสามารถไปต่อได้ หากติดประเด็นใดประเด็นหนึ่งจะไปต่อไม่ได้ ขณะที่ข้อเท็จจริงต้องพิสูจน์ ทั้งคำชี้แจงของนายกฯ หรือคำร้องของผู้ร้อง รวมถึงการแถลงปิดคดีของทั้งสองฝ่าย และเรื่องการไต่สวนพยาน 2 ปากสำคัญ คือตัวนายกฯ และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อยู่ที่ว่าศาลจะวินิจฉัยไปในทางใด
"หากมองในแง่ข้อกฎหมาย การวินิจฉัยให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี หรือถึงขั้นตัดสิทธิ์ทางการเมืองก็ดีนั้น สิ่งเหล่านี้ต้องมีความเด็ดขาด เพราะเป็นผลที่เกิดขึ้นต่อบุคคล สำหรับข้อ 27 นั้น ไม่ได้ถือว่าเป็นมาตรฐานจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ หรือจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งต้องดูเรื่องเจตนา พฤติการณ์ และความร้ายแรงของความเสียหาย ซึ่งคำชี้แจงของ นายกฯ ก็มีการอธิบายทั้ง 3 ประเด็นดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้ เมื่อคำชี้แจง ประกอบกับการไต่สวนพยาน ศาลจะรับฟังหรือไม่ อยู่ที่ดุลพินิจศาล จึงให้โอกาสเป็น 50:50 ออกได้ทั้งสองฝั่ง" นายยุทธพร กล่าว
นายยุทธพร กล่าวต่อว่า ไม่ว่าผลของคำตัดสินในวันที่ 29 ส.ค. จะเป็นคุณกับนายกฯ หรือไม่ หากในแง่ที่เป็นคุณ นายกฯ อาจจะได้ไปต่อ คือสามารถบริหารงานต่อ แต่ในแง่ความชอบธรรมทางการเมือง หรือการแก้โจทก์ต่างๆ ยังมีสัญญาณทางการเมืองที่ต้องแก้อีก
"สำคัญคือจะทำอย่างไรให้เสถียรภาพทางการเมืองกลับมา การที่เสียงปริ่มน้ำ หรือสภาฯ ล่ม และชิงปิดประชุมสภาบ่อยครั้ง สิ่งเหล่านี้ต้องไม่ทำให้ภาพเกิดขึ้น เพราะจะส่งกระทบความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและรัฐบาล ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้ต่อไป” นายยุทธพร กล่าว
นายยุทธพร กล่าวต่อว่า ขณะที่มาตรา 5 และมาตรา 144 ที่อาจจะสามารถเซ็ทซีโร่ สส.ได้กว่าครึ่งสภาฯ ก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาต่อว่าจะส่งผลต่อการเมืองอย่างไร แม้กระทั่งการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ภายหลังหากผลเป็นคุณต่อ นายกฯ ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องรอดู เพราะอาจจะปะทุกลับขึ้นมาอีกตอนไหน ส่วนสัญญาณทางเศรษฐกิจ ก็ต้องเร่งฟื้นฟูให้กับประชาชนในระยะสั้น ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่รอ หรือหากผลวินิจฉัยเป็นไปในเชิงลบ นายกฯ ไปต่อไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้ว จะไปต่อได้หรือไม่ ก็เป็นสิ่งที่น่ากังวลเช่นเดียวกัน ถึงจะมีการเลือกนายกฯ คนใหม่ได้ นายกฯ คนใหม่ก็ต้องเผชิญ โจทย์การเมืองและเศรษฐกิจ ดังที่กล่าวไปด้วยเช่นเดียวกัน







