ทยอยปล่อยนักโทษ 112 'ค้างอีก 47' จับตา ‘แดง-ส้ม’ ดัน ‘นิรโทษฯ’

ในการประชุม กมธ.วันที่ 28 ส.ค.ที่ประธาน กมธ.กำหนดว่า เมื่อเปิดประชุมจะขอลงมติมาตรา 3 ทันที จึงน่าจับตาว่า สุดท้ายจะปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการนิรโทษกรรมได้หรือไม่ อย่างไร
KEY
POINTS
- ผู้ต้องโทษในคดีมาตรา 112 จำนวน 5 รายได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำหลังได้รับพระราชทานอภัยโทษ
- ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่ายังคงมีผู้ต้องขังในคดีมาตรา 112 อีกอย่างน้อย 47 คน
- มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยเฉพาะจากขั้ว "แดง-ส้ม" ในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในชั้นกรรมาธิการเพื่อให้ครอบคลุมคดีมาตรา 112
เพียงไม่นานหลัง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี “พ้นบ่วง” คดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไปเมื่อ 22 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา ถัดมาในวันที่ 27 ส.ค.2568 มี “ผู้ต้องโทษ” คดีมาตรา 112 อย่างน้อย 5 คน ถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำ หลังจากเข้าหลักเกณฑ์ได้รับพระราชทานอภัยโทษในปี 2568 ได้แก่
1.อัญชัญ ปรีเลิศ อดีตข้าราชการพลเรือน ถูกตัดสินจำคุกรวม 29 ปี 174 เดือน จากการถูกกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งในผู้อัพโหลด และเผยแพร่คลิปเสียงของ “บรรพต” ดีเจผู้จัดรายการวิทยุใต้ดิน ซึ่งมีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นประมาทกษัตริย์ รวมทั้งหมด 29 ครั้ง เป็นความผิด 29 กระทง โดยเธอได้รับการปล่อยตัวจากทัณฑสถานหญิงกลาง กทม. หลังถูกคุมขัง 8 ปี 4 เดือน 19 วัน
2.ธนพร ถูกตัดสินจำคุก 4 ปี ลดโทษเหลือ 2 ปี จากการคอมเมนต์โพสต์บนเฟซบุ๊ก ได้รับการปล่อยตัวจากทัณฑสถานหญิงธนบุรีแล้ว โดยธนพรสู้คดีขณะยังตั้งครรภ์ และต้องเดินเข้าเรือนจำในฐานะแม่ลูกอ่อน ธนพรอยู่ในเรือนจำมาทั้งสิ้น 458 วัน หรือ 1 ปี 3 เดือน 1 วัน
3.ขนุน-สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ แนวร่วมม็อบราษฎร โทษจำคุก 2 ปี ถูกคุมขังในคดีมาตรา 112 จากการปราศรัยเรื่องบทบาทกษัตริย์ที่แยกราชประสงค์ เมื่อปี 2563 ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.2567 วันจนถึงวันนี้ (27 ส.ค.68) รวมถูกคุมขังทั้งหมด 521 วัน หรือ 1 ปี 5 เดือน 2 วัน
4. สมบัติ ทองย้อย อดีตการ์ดคนเสื้อแดง และแนวร่วมม็อบราษฎร โทษจำคุก 4 ปี ถูกคุมขังในคดีมาตรา 112 จากการโพสต์เฟซบุ๊ก “#กล้ามาก #เก่งมาก #ขอบใจนะ” และอีก 2 ข้อความ ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย.2566 และเคยถูกคุมขังมาแล้ว 2 ครั้ง หลังคำพิพากษาศาลชั้นต้นและหลังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ วันจนถึงวันนี้ (27 ส.ค.68) เขาถูกคุมขังทั้งหมด 1,002 หรือ 2 ปี 8 เดือน 27 วัน
5.ทีปกร หรือ กิ๊ฟ อดีตหมอนวดแผนไทยอิสระ วัย 40 ปี ผู้ถูกคุมขังในคดี มาตรา 112 จากกรณีโพสต์และแชร์คลิปที่มีเนื้อหาวิจารณ์การใช้ภาษีของสถาบัน โทษจำคุก 3 ปี ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแล้ว โดยทีปกรถูกคุมขังตั้งแต่วันที่ 19 มิ.ย.2566 หลังศาลอาญาลงโทษจำคุก 3 ปี เขาถูกคุมขังมาเป็นระยะเวลา 2 ปี 2 เดือนเศษ
ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์ทนายความสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ปัจจุบันยังมียอดผู้ต้องขังคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกอย่างน้อย 47 คน แยกเป็นผู้ต้องขังที่ไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างการต่อสู้คดี อย่างน้อย 28 คน ผู้ต้องขังคดีถึงที่สุดแล้ว 18 คน และเยาวชนที่ถูกคุมขังในสถานพินิจอีก 1 คน
อย่างไรก็ดี แม้จะมีการปล่อยตัวผู้ต้องโทษคดีดังกล่าวถึง 5 คน แต่ล่าสุด มีผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ถูกศาลพิพากษาจำคุกเพิ่มเติมอีก 3 คน กรณีจำเลยคดีถูกกล่าวหาจากเหตุระเบิดที่บริเวณหน้าห้างสามย่านมิตรทาวน์ ระหว่าง การชุมนุม #ม็อบ16 มกรา 64 ถูกศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษา เป็นลงโทษจำคุกถึง 33 ปี 4 เดือน เนื่องจากเห็นว่ามีความผิดในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน โดยอยู่ระหว่างรอฟังคำสั่งประกันตัวในชั้นฎีกา
นอกจากนี้ ในช่วงสัปดาห์นี้ ยังมีผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ที่ถูกคุมขังในชั้นสอบสวนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อีก 1 ราย โดยศูนย์ทนายความฯ อยู่ระหว่างติดตามข้อมูลเพิ่มเติม
ในอีกอย่างน้อย 47 คนที่เหลือดังกล่าว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นแกนนำ หรือสมาชิกระดับนำแถว 2-3 ของขบวนการ “ม็อบราษฎร” ที่ผงาดขึ้นมาท้าทาย “เพดาน” การเมืองไทย ระหว่างปี 2562-2565
ในช่วง 3 ปีดังกล่าว มีแกนนำ-นักกิจกรรม-แนวร่วมม็อบนี้ ถูกตำรวจจับกุมทั้งในคดีมาตรา 112 และคดีเกี่ยวกับการชุมนุมเป็นจำนวนไม่น้อย บางคนต้องคดีเกี่ยวกับการใช้อาวุธ วัตถุระเบิด และวางเพลิงด้วย
ส่วนสมาชิกระดับ “แถว 1” น่าจะยังเหลือเพียงคนเดียวคือ “อานนท์ นำภา” ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน และทนายผู้ว่าความให้คนเสื้อแดง ที่ผันตัวมาเป็นแกนนำม็อบราษฎรช่วงปี 2562 ก่อนจะถูกจับ และส่งไปจำคุกระหว่างการพิจารณา
ทั้งนี้ข้อมูลจากศูนย์ทนายความฯ ระบุว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีมาตรา 112 กับเขาไปแล้วอย่างน้อย 10 คดี รวมโทษจำคุกในทุกคดีทั้งสิ้น 26 ปี 37 เดือน 20 วัน แยกเป็นคดีข้อหาหลักตามมาตรา 112 จำนวน 10 คดี คดีข้อหาหลักตามมาตรา 116 จำนวน 1 คดี คดีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 1 คดี และคดีละเมิดอำนาจศาล 1 คดี โดยทุกคดียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา
ที่เหลือส่วนใหญ่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด แต่ศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างต่อสู้คดี เช่น “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล มี 10 คดี เบนจา อะปัญ 8 คดี ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา 6 คดี พรหมศร วีระธรรมจารี 6 คดี ชูเกียรติ แสงวงค์ วรรณวลี ธรรมสัตยา เกียรติชัย ตั้งภรณ์พรรณ 4 คดี ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล 3 คดี เป็นต้น
บางคน “ลี้ภัย”ทางการเมืองไปต่างประเทศแล้ว เช่น “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ มี 14 คดี ศาลตัดสินแล้ว 1 คดี โทษจำคุก 2 ปี แต่เจ้าตัวหลบหนีคำพิพากษา ลี้ภัยในต่างประเทศ เช่นเดียวกับ “ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก มีคดีติดตัว 9 คดี ศาลตัดสินแล้ว 1 คดี โทษจำคุก 4 ปี แต่ปัจจุบันลี้ภัยไปต่างประเทศแล้ว
ปฏิเสธไม่ได้ว่า บรรดาบุคคลที่ถูกคุมขังจำคุก “คดีมาตรา 112” ข้างต้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็น“เหยื่อ”ทางการเมือง จากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในรอบเกือบ 30 ปีที่ผ่านมาของการเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ยุค “แดงครองเมือง” ระหว่างปี 2552-2553 ถัดมายุค “ส้มทั้งโซเชียล” ระหว่างปี 2562-2565
แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา “พรรคแดง-พรรคส้ม” จะพยายามประคับประคองสถานการณ์ โดยเฉพาะในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง แต่นโยบายแก้ไขมาตรา 112 หรือแม้แต่จะนำมาถกกันในสภาฯ เพื่อหาทางออก กลับไม่สามารถทำได้ เพราะถูกค้านจากฝ่ายอนุรักษนิยมทุกทิศทาง
แม้แต่ “ก๊กแดง”เอง แม้ฉากหน้าจะไม่ขวาง แต่ก็ไม่ยอมร่วมสังฆกรรมแก้ไขเรื่องนี้เช่นกัน โดยอ้างว่าเป็น “ฉันทามติกึ่งบังคับ” จากสังคม
ไม่เว้นแม้แต่ “ก๊กส้ม” ที่มีความพยายามนำเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับแก้ไขมาตรา 112 และหนุนร่างภาคประชาชน แต่มีบางช่วงที่โดนกังขาจากมหามิตร-มวลชนผู้สนับสนุน นับตั้งแต่ “ก้าวไกล”ถูกยุบพรรค จากนโยบายหาเสียงแก้ไขมาตรา 112 เรื่องนี้จึงเงียบหายไป ไม่สามารถใช้เป็น“เรือธง”เหมือนที่ผ่านมาได้
ปัจจุบันห้วงเวลาที่สภาฯ กำลังพิจารณา ร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข หรือนิรโทษกรรมให้กับผู้ทำผิดในคดีการเมือง ที่ให้รวม “คดีมาตรา 112” ลงไปด้วย และ 2 ร่างของ สส.และภาคประชาชน จะถูกตีตกจากการพิจารณาเมื่อเดือน ก.ค.2568 ไปแล้วก็ตาม
แต่ในการพิจารณาชั้น กมธ. กลับพบว่า เมื่อ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา คณะกมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสร้างสังคมสันติสุข พ.ศ… สภาฯ ซึ่งมี ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นประธาน กมธ.ได้พิจารณาวาระสำคัญ คือ เนื้อหาของมาตรา 3 ที่กำหนดสาระข้อยกเว้นของการบังคับใช้กฎหมายกับการกระทำความผิดฐานทุจริตหรือประพฤติมิชอบ การกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และการกระทำความผิดที่ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือที่เป็นการกระทำความผิดต่อส่วนตัว หรือที่เป็นการกระทำที่ต้องรับผิดต่อบุคคลใดที่มิใช่หน่วยงานของรัฐเป็นการเฉพาะรายหรือเฉพาะกลุ่ม
โดยที่ประชุมได้ใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมงในการพิจารณาและมีการลงมติเสียงข้างมากให้แก้ไขเนื้อหาของมาตราดังกล่าว ทั้งนี้ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้นัดประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 28 ส.ค.
นั่นจึงทำให้ “ฝ่ายอนุรักษนิยม” กำลังจับตาการแก้ไขมาตรา 3 ในร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสร้างสังคมสันติสุข ฉบับดังกล่าว ว่า“สุ่มเสี่ยง” จะเปิดช่องยัดไส้ “คดีมาตรา 112” รวมไปด้วยหรือไม่ แม้ “พรรคส้ม” จะพยายามเสนอทางออกไว้อย่างน้อย เช่น ต่อท้ายมาตรา 3 ว่าไม่ให้บังคับใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เป็นต้น
“สิ่งหนึ่งที่ ที่ประชุมเห็นตรงกัน คือ เด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีจำนวนมาก ไม่ได้คิดร้ายกับประเทศนี้ เพียงแค่เห็นต่างกับผู้มีอำนาจเท่านั้น ซึ่งข้อยกเว้นของมาตรา 3 อาจทำให้ปิดโอกาสในการได้รับนิรโทษกรรม” พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ พรรคประชาชน ในฐานะโฆษก กมธ.ระบุ
ดังนั้น ในการประชุม กมธ.วันที่ 28 ส.ค.ที่ประธาน กมธ.กำหนดว่า เมื่อเปิดประชุมจะขอลงมติมาตรา 3 ทันที จึงน่าจับตาว่า สุดท้ายจะปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการนิรโทษกรรมได้หรือไม่ อย่างไร จะรวม “คดีมาตรา 112” ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเหยื่อทางการเมืองไปด้วยหรือไม่ ต้องติดตาม







