‘สภาฯ 2 ฝั่ง’ สร้างด่านขัดแย้ง ดิสเครดิต-สกัด คู่แข่งการเมือง

เหลือเวลาปีเศษ ที่ สภา ชุดที่26 จะทำหน้าที่ ระยะนี้จะเห็นการผลักดันวาระกฎหมายเรือธงของทุกพรรค ทว่าในสงครามเลือกตั้ง จะเห็นการฟาดฟัน ดิสเครดิต สกัดคู่แข่งต่อเนื่อง
KEY
POINTS
- ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านในสภารุนแรงขึ้น โดยมีชนวนเหตุจากความล่าช้าในการพิจารณาร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
- ฝ่ายรัฐบาลพยายามกล่าวหาว่าฝ่ายค้านเป็นต้นเหตุของความล่าช้าเพื่อลดความน่าเชื่อถือ ขณะที่ฝ่ายค้านใช้เกมองค์ประชุมตอบโต้เพื่อเปิดโปงความไม่รับผิดชอบของ สส. รัฐบาล
- ทั้งสองฝ่ายต่างใช้กลยุทธ์ทางการเมืองในสภาฯ เช่น การเล่นเกมองค์ประชุม และการชิงปิดประชุม เพื่อสกัดกั้นและทำลายความน่าเชื่อถือของคู่แข่งทางการเมือง
ภาพความขัดแย้งระหว่าง “รัฐบาล” และ “ฝ่ายค้าน” ในเวทีสภาหินอ่อน ยิ่งนานวัน ยิ่งปรากฏชัดแจ้ง เป็นรอยแยกที่ไม่อาจผสานกันได้
ล่าสุดเป็นเรื่องของการลองเชิง ประลองกำลัง ในการพิจารณา “ร่างกฎหมายเรือธง” ที่ “เพื่อไทย” พรรคแกนนำรัฐบาล ใช้เป็นกลไกปูทางไปสู่ “นโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ได้แก่ ร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการตั๋วร่วม พ.ศ… และร่างพ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่...) พ.ศ... เมื่อ 27 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา
ประเด็นที่มา คือพรรคเพื่อไทยออกมาโพสต์ภาพ และข้อความสรุปย่อจากคำสัมภาษณ์ของ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม แกนนำพรรค เมื่อ 26 ส.ค.ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ จั่วหัวว่า “ขอโทษประชาชน เลื่อนใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ต่อด้วย “รอผ่านกฎหมายรองรับ 3 ฉบับก่อน ซึ่งขณะนี้กฎหมายอยู่ในสภาฯแล้ว เชื่อว่าสส.-สว.มีวุฒิภาวะ โหวตเพื่อผลประโยชน์คนไทย ยืนยันลงทะเบียนแอปฯทางรัฐ เหมือนเดิม”
สำทับด้วย “มนพร เจริญศรี” รมช.คมนาคม จากพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล ระบุถึงความล่าช้าของการพิจารณาร่างกฎหมายเรือธง ว่า “สภาฯล่มบ่อย” เหมือนโยนไปที่ฝ่ายค้านคือตัวการ ที่ชอบเล่นเกม ให้นับองค์ประชุมจนภารกิจสภาฯ ต้องชะงักบ่อยครั้ง แม้สส.รัฐบาล ที่ต้องเป็นตัวหลักจะหายจนเสียงไม่ครบ
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมสภาฯ วานนี้(27 ส.ค.) ในวาระพิจารณาร่างพ.ร.บ.ตั๋วร่วม ฝ่ายค้านจึงย้อนเกล็ด ตรวจแถว “สส.รัฐบาล” ผ่านแทกติก เช็ค สส.ที่ไม่ลงชื่อเข้าร่วมประชุม จนทำให้ “สส.รัฐบาล” ต้องแก้เกม ด้วยการดึงเวลา ด้วยวิธีหารือประธาน เพื่อรอให้สส.มาเติมองค์ประชุมให้ครบ ซึ่งสส.ฝ่ายค้านก็รู้ทัน และสวนด้วยเกมประท้วง
พร้อมทั้งเฉลยว่า สิ่งที่ฝ่ายค้านดำเนินการ มีเหตุผลชัดเจน “ตั้งใจไม่ลงชื่อให้ครบจำนวนที่เปิดประชุมได้” เพื่อทดสอบความสำนึกผิด (ของสส.รัฐบาล) หลังจากที่โพสต์ขอโทษประชาชน ต่อกรณีเลื่อนทำนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายจากกำหนดเดิม 1 ต.ค.ไปเป็น 15 พ.ย.”
โดย “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.ตัวตึง ค่ายส้ม ระบุว่า “หากดูหน้าจอผู้ประชุม 240 ไม่ต้องโพสต์ถามว่า พรรคฝ่ายค้านไม่ลงชื่อ ขอบอกตรงๆ ว่า พวกผมมาแล้ว แต่ไม่ลงชื่อ เพราะหากลงชื่อ จะไม่มีทางรู้ว่า สส.รับผิดชอบต่อหน้าที่ มีพฤติกรรมขี้เกียจสันหลังยาวหรือไม่”
ทว่าเกมนี้ “สส.เพื่อไทย” ไม่ยอมให้ถูกด่าฝ่ายเดียว ส่ง “วัชระพล ขาวขำ” สส.อุดรธานี วิปรัฐบาล ลุกขึ้นโต้กลับนิ่มๆ ว่า “กฎหมายที่กำลังพิจารณา รัฐบาลตั้งใจทำ และเป็นเรื่องสำคัญกับประชาชน เมื่อดูรายละเอียด พรรคเพื่อไทยมี สส.กทม.คนเดียว ที่เหลือเป็น สส.ของพรรคฝ่ายค้านทั้งหมด หากไม่เป็นองค์ประชุม ต้องตอบคำถามสังคมเอาเอง”
ผลที่สุด “ฝ่ายรัฐบาล” กู้หน้าตัวเองได้ ด้วยการระดมสส.ลงชื่อเป็นองค์ประชุมจนครบจำนวนที่ 248 คน แต่เมื่อเทียบกับจำนวนองค์ประชุมที่ต้องใช้ 246 คน ถือว่าเกินมาแบบเฉียดฉิว 2 เสียงเท่านั้น
ในวาระพิจารณาร่างกฎหมายเรือธง จึงเป็นงานหนักของ “วิปรัฐบาล” ที่ต้องใช้สรรพกำลัง ประคององค์ประชุมไม่ให้ล่มตลอดเวลา เนื่องจาก “ฝ่ายค้าน”เล่นบท “อยู่แบบไร้ตัวตน” ไม่รวมแสดงตนเป็นองค์ประชุม ยกเว้นตอนโหวตลงมติเท่านั้น
แม้ร่างพ.ร.บ.ตั๋วร่วม และร่างพ.ร.บ.รฟม. จะผ่านสภาฯไปได้ และเตรียมขยับนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ภายใน 15 พ.ย. นี้ แต่เกมในสภาฯ ที่ผ่านการตั้งแง่ สกัดเกมกฎหมาย ยังต้องสู้กันอีกหลายยก เพราะ “ฝ่ายรัฐบาล” และ “ฝ่ายค้าน” ล้วนมีอาวุธเบา-อาวุธหนัก ที่พร้อมงัดมาฟาดใส่กันทุกวินาที เพื่อเป้าหมายเดียวคือ “ดิสเครดิต-สกัด” คู่แข่งทางการเมือง
ได้แก่ วันที่ 3 ก.ค.2568 ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดสมัยประชุม วันนั้นเป็นเพียงการพิจารณารายงานของหน่วยงานตามวาระปกติ “อัคร ทองใจสด” สส.พลังประชารัฐ ลุกเสนอนับองค์ประชุม ถือเป็นการเล่นทีเผลอ “รัฐบาล” ตามตัวสส.มาแสดงตนไม่ทัน ทำให้ “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ที่ทำหน้าที่ขณะนั้น เห็นตัวเลขแล้วไม่สู้ดี จึงปิดประชุม
อีกครั้งใน วันที่ 17 ก.ค. ในช่วงวาระรับทราบรายงานของหน่วยงาน สส.พรรคประชาชนเสนอนับองค์ประชุม แต่รอองค์ประชุม 10 นาที ก่อนที่ “พิเชษฐ์” เจ้าเดิม จะสั่งปิดประชุมหนีการแจ้งผลตรวจสอบ
นอกจากนั้นยังมีการชิงปิดประชุมสภาฯ ก่อนที่จะถูก “ฝ่ายค้าน” ลองดีอีก 4 ครั้ง คือ เมื่อ วันที่ 9 ก.ค. ระหว่างพิจารณาร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข และร่างกฎหมายนิรโทษกรรม วาระแรก ที่เดิมได้นัดหมายลงมติในช่วงค่ำของวันเดียวกัน แต่เมื่อการประชุมดำเนินไปถึง 17.09 น. กลับเลื่อนการพิจารณาไปเฉยๆ ส่วนหนึ่งถูกมองว่าที่รีบปิดประชุม เพราะ “สส.เพื่อไทย” ไปร่วมต้อนรับ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ขึ้นเวทีเปิดใจเรื่องการเมืองครั้งสำคัญ
ต่อด้วยวันที่ 6 ส.ค. ระหว่างพิจารณา ร่างกฎหมายเรือธงของ “เพื่อไทย” คือ “ร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง” ที่แม้รอบนี้ “รัฐบาล” จะตามคนมาแสดงตนได้ แต่มีข้อกังขาจาก “สส.พรรคประชาชน” ที่ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานสภาฯ ฐานะประธานในที่ประชุม สั่งให้ปิดการแสดงตนไปแล้ว
แต่ยังให้สิทธิ สส.รัฐบาลขานชื่อองค์ประชุมต่ออีกเกือบ 10 นาที ก่อนแจ้งยอด มี สส. 246 คน ที่ครบกึ่งหนึ่งพอดิบพอดี แต่หลังจากนั้นการประชุมพิจารณาต่อได้ไม่กี่นาที “ฉลาด ขามช่วง” รองประธานสภาฯ ประธานที่ประชุม “ฝ่ายค้าน” ประกาศชัดว่า จะไม่รวมแสดงตนเป็นองค์ประชุมก่อนลงมติ จึงเห็นเค้าลางไม่ดี จึงสั่งปิดประชุม
อีกครั้งเมื่อวันที่ 20 ส.ค. ระหว่างพิจารณา “ร่างพ.ร.บ.ตั๋วร่วม” ที่ “ฝ่ายค้าน” ส่งสัญญาณไม่ร่วมเป็นองค์ประชุมอีกครั้ง เพราะ “สส.รัฐบาล” หนีหายจากสภาฯ
ล่าสุด 21 ส.ค. ที่ “ไชยา พรหมา” รองประธานสภาฯ ปิดประชุม โดยอ้างว่า “ผิดคิว” เพราะคิดว่าไม่มีระเบียบวาระค้างพิจารณา ทั้งที่ “พรรคฝ่ายค้าน” เตรียมเสนอญัตติด่วน ให้พิจารณาศึกษาเกี่ยวกับเอ็มโอยู 43 และ เอ็มโอยู 44 เพื่อแก้ปัญหาเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา และได้ตกลงกับวิปรัฐบาลไว้แล้ว
ทว่าเกมนี้ ถูกเดาทางไว้ว่า ไม่อยากให้ “พรรคฝ่ายค้าน” เป็นฮีโร่ และไม่อยากสุมไฟการเมือง หลัง “ภาคประชาชน” ตั้งเวทีเรียกร้องให้ยกเลิกเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับ
วาระของสภาฯ ที่อยู่ในช่วงนับถอยหลังปีเศษ ที่ทุกพรรคอยากเร่งร่างกฎหมายของตนเองเพื่อหวังต่อยอด สร้างคะแนนในสนามเลือกตั้งรอบหน้า แต่เมื่อ “รัฐบาล” กับ “ฝ่ายค้าน” ตั้งป้อมฟาดฟัน ศึกในสภาฯ ต่อจากนี้จะยิ่งแรงขึ้นทวีคูณ







