1 ปี‘แพทองธาร’การเมืองไล่ล่า จุดเสี่ยงรัฐบาล จุดจบนโยบาย

29 ส.ค.2568 คดีที่จะชี้ชะตาของนายกรัฐมนตรี จึงเป็นทั้ง“จุดเสี่ยงรัฐบาล” และ“จุดจบของนโยบาย” และย่อมส่งผลต่อทิศทางประเทศไทยทั้งการเมืองและเศรษฐกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้
KEY
POINTS
- ครบ 1 ปีรัฐบาลแพทองธารต้องเผชิญกับ "นิติสงคราม" โดยเฉพาะ "คดีคลิปเสียง" สนทนากับฮุน เซ็น ซึ่งทำให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่และเตรียมวินิจฉัยสถานะนายกรัฐมนตรีในวันที่ 29 ส.ค.
- รัฐบาลตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศและความขัดแย้งภายในพรรคร่วม ขณะที่คะแนนนิยมของแพทองธารตกต่ำลงอย่างมาก จากอันดับ 1 เหลืออันดับ 5 ในการสำรวจของนิด้าโพล
- นโยบายเรือธง โดยเฉพาะ "ดิจิทัลวอลเล็ต" ไม่มีความคืบหน้าและยังกลายเป็นคดีการเมืองที่ถูก ป.ป.ช. ตรวจสอบเรื่องการใช้งบประมาณที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ
- สถานการณ์ของรัฐบาลมีความสุ่มเสี่ยง โดยชะตากรรมขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 29 ส.ค. ซึ่งอาจเป็นทั้ง "จุดเสี่ยงรัฐบาล" และ "จุดจบของนโยบาย" ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการเมือง
1 ปี รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร หลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 16 ส.ค.2567 มีมติด้วยคะแนน 319 ต่อ 145 เสียง สนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของไทย ต่อจาก “เศรษฐา ทวีสิน” ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ขาดคุณสมบัติ จากกรณีแต่งตั้ง“พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรี จนเป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่ง
ทว่า ผ่านไป 1 ปี ถึงนาทีนี้ ท่ามกลางสารพัดนิติสงครามที่กำลังเผชิญ ทั้ง“คดีคลิปเสียง”สนทนาระหว่าง“นายกฯแพทองธาร” และ“ฮุน เซ็น” ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้กลายเป็นหัวเชื้อ นำไปสู่การยื่นตรวจสอบคุณสมบัติ รวมถึงมาตรฐานจริยธรรม
กระทั่ง ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่ และกำลังจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาดสถานะนายกฯ ในวันที่ 29 ส.ค.นี้
อีกทั้งยังมีคำร้องในคดีเดียวกันค้างอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นับตั้งแต่ที่ ป.ป.ช.“รับเรื่อง” ไว้ตรวจสอบเมื่อเดือน มิ.ย.2568 ที่ผ่านมา ซึ่งตามกระบวนการคาดว่า ช้าที่สุดไม่เกิน6เดือนนับตั้งแต่ที่ป.ป.ช.รับเรื่องไว้สอบน่าจะรู้ผล
สถานการณ์นิติสงคราม ที่กำลังเกิดขึ้นกับ“ผู้นำประเทศ” ในเวลานี้ ย่อมส่งผลให้รัฐบาลตกอยู่ในสภาวะสุญญากาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่นโยบายรัฐบาลผสม 11 พรรค ก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองภายใน เมื่อเพื่อไทย-ภูมิใจไทย เปิดศึกกัน ส่งผลให้นโยบายสำคัญถูกเตะถ่วงไปโดยปริยาย
1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลแพทองธารพยายามแถลงผลงานเป็นระยะ แต่กลับไม่มีความคืบหน้าโดยเฉพาะนโยบายเรือธง อีกทั้งยังถูกฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ ขยายภาพให้เห็นถึงข้อบกพร่องของนโยบายรัฐบาลในมิติต่างๆ
เมื่อย้อนไปดูคะแนนนิยมรัฐบาลผ่านการสำรวจความคิดเห็นจากสังคม โดย“นิด้าโพล” หรือศูนย์สำรวจความคิดเห็นสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พบว่าคะแนนนิยมรายไตรมาสครั้งหลังสุด เมื่อ 29 มิ.ย.2568 กระแสผู้นำเริ่มเปลี่ยน
ผลสำรวจ บุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี ไฮไลต์ “5 อันดับแรก” พบว่า อันดับ 1 เป็นของผู้นำฝ่ายค้าน “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน ด้วยคะแนน 31.48% อันดับ 2 ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ ด้วยคะแนน 19.88% อันดับ 3 คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยคะแนน 12.72%
ขณะที่ “แพทองธาร” หล่นวูบไปอยู่ที่ลำดับที่ 5 เหลือคะแนนเพียง 9.20% ลดจากจากการสำรวจครั้งที่ 1/2568 ในเดือน มี.ค.2568 ที่เคยได้คะแนนนิยมถึง 30.90% ถือว่าลดลงไปกว่า 20%
เมื่อย้อนไปดูผลสำรวจ “นิด้าโพล” ของนายกฯ โดยนับตั้งแต่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหารของ “แพทองธาร” เมื่อเดือนส.ค.2567 พบว่า
คะแนนนิยมของนายกฯแพทองธาร รายไตรมาส “3/2567” ที่สำรวจเมื่อ 16-23 ก.ย.2567 เคยเป็นอันดับ 1 ที่ 31.35% ถัดมาไตรมาส “4/2567” ผลสำรวจระหว่าง 16-23 ก.ย.2567 พลิกผัน เมื่อ“ณัฐพงษ์” สลับขึ้นนำมาเป็นอันดับ 1 ด้วย 29.85% ส่วนอันดับ 2 แพทองธาร 28.80%
ตัดกลับมายังเรื่อง"นโยบายรัฐบาลเพื่อไทย" ที่ผ่านมา 2 นายกฯ เกินครึ่งทางแล้ว ก็ยังไม่สามารถเดินหน้าไปได้ตามเป้าหมายได้ และสถานการณ์สุ่มเสี่ยงจะล้มเป็น “โดมิโน่”
จนต้องพยายามดันนโยบายใหม่แทรกขึ้นมา อย่างเช่น รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย หลังจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” ที่หมายมั่นว่าจะให้เป็น “พายุหมุน” ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่เวลานี้กลับกลายเป็น“พายุทอร์นาโด” ที่พัดกลับมาถล่ม “เรือเหล็กรัฐบาล”จนเสียการควบคุม
มิหนำซ้ำ นโยบายยังกลายเป็นคดีการเมืองที่กลับมาไล่ล่ารัฐบาล เมื่อถูกร้อง ป.ป.ช.กรณีที่คณะรัฐมนตรี สส.และสว. เห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 ที่มีการโยกงบฯ ไปทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่อาจขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 กรณีที่ผลประโยชน์“ทางตรง”หรือ“ทางอ้อม”ในการใช้งบประมาณรายจ่าย
ซึ่งป.ป.ช.รับเรื่องนี้ไว้พิจารณาไปเมื่อเดือนมิ.ย.2568 ที่ผ่านมา ตามกระบวนการ หากป.ป.ช.เห็นว่า มีมูลความผิด ก็จะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยประเด็นความชอบด้วยกฎหมายต่อไป
สิ่งที่น่ากังวล คือ กรณีนี้มีตัวอย่างที่ “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” อดีตรองประธานสภาฯ ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นระยะเวลา 10 ปี จากกรณีเห็นชอบงบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 3 โครงการ ในร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2569 ในลักษณะประโยชน์ในการหาเสียง หรือสร้างความนิยมให้แก่ตนเองในเขตเลือกตั้ง ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144
สถานการณ์สุ่มเสี่ยงนี้ ชะตากรรมของรัฐบาล อาจไม่ได้ลุ้นแค่“คดีคลิปเสียง”นายกฯ ที่จะผู้ผลในวันที่ 29 ส.ค.เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงบรรดาคดีความต่างๆ ที่ค้างคาอยู่ในกระบวนการตรวจสอบในเวลานี้อีกด้วย
ภายใต้สภาวะการเมืองที่กำลังปั่นป่วน ย่อมส่งผลไปถึงสภาวะเศรษฐกิจที่อาจมีความเกี่ยวเนื่องกันไม่มากก็น้อย ก่อนหน้านี้ มีข้อมูลที่น่าสนใจจาก ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ออกมาเผย เมื่อช่วงเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ถึงตัวเลขปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ลงเหลือโต 1.7% (กรอบ 1.5-2.0%) จากที่เคยประมาณการไว้ล่าสุดเมื่อ พ.ย.67 ที่โต 3.0%
โดยการขยายตัวดังกล่าว ยังมีโอกาสผันผวนขึ้นอยู่กับความรุนแรงของ“5 ฉากทัศน์”
1.มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ขณะนี้ไทยมีการเสียภาษีอยู่ที่19%
2. สถานการณ์อิสราเอล-อิหร่าน ซึ่งมีนัยต่อราคาน้ำมันดิบ อัตราเงินเฟ้อ และนโยบายการเงิน
3.ความตึงเครียดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
4.ประสิทธิผลของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้งบ 1.57 แสนล้านบาท ขึ้นอยู่กับการเบิกจ่ายงบกระตุ้นในโครงการดังกล่าว
และ5.เสถียรภาพของรัฐบาลแพทองธาร ในคดีคลิปเสียง ซึ่งจะชี้ขาดในวันที่ 29 ส.ค.นี้
29 ส.ค.2568 คดีที่จะชี้ชะตาของนายกรัฐมนตรี จึงเป็นทั้ง“จุดเสี่ยงรัฐบาล” และ “จุดจบของนโยบาย” และย่อมส่งผลต่อทิศทางประเทศไทยทั้งการเมืองและเศรษฐกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้






