'มาริษ' เยือนสวีเดน เป็นสักขีพยานซื้อกริพเพน ก่อนถกเจนีวา26ส.ค.

'มาริษ' เยือนสวีเดน เป็นสักขีพยานซื้อกริพเพน ก่อนถกเจนีวา 26ส.ค.นี้ จ่อฟ้องกัมพูชาละเมิดกฎหมาย ระหว่างประเทศ ใช้ทุ่นสังหาร โจมตีพลเรือนไทย
วันที่24ส.ค. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ สัมภาษณ์ในโอกาสเดินทางเยือนราชอาณาจักรสวีเดนอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของ รมว.ต่างประเทศสวีเดน เพื่อเป็นสักขีพยานในการลงนามซื้อเครื่องบินรบกริพเพน ซึ่งจะได้มีโอกาสพูดคุยกับทางการสวีเดน ในการมีความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ และใช้โอกาสนี้พูดคุยทำความเข้าใจ สถานการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาด้วย
นายมาริษ เผยว่า สวีเดนเป็นอีกหนึ่งประเทศ ที่ให้ความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างมาก จึงจะใช้โอกาสนี้ยืนยันว่ามาตรการต่างๆ ที่ประเทศไทยใช้ในการแก้ปัญหากัมพูชาตั้งแต่แรกเริ่ม มุ่งเน้นการใช้การเจรจาสองฝ่ายหรือทวิภาคี หลีกเลี่ยงการใช้กำลัง และแสดงความต้องการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยสันติและจริงใจระหว่างกันมาโดยตลอด โดยได้เตรียมหลักฐานเพื่อนำมาชี้แจงให้รับฟังด้วย
"การที่เราถูกกัมพูชาละเมิดอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน ทำให้เราต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง (Self Defense) ตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ให้เขาสบายใจว่า การปฏิบัติการทางทหารของเรา สอดคล้องกับนโยบายด้านการต่างประเทศ เราเป็นประเทศที่รักสันติ เราทำทุกอย่างตามกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎบัตรสหประชาชาติ"
"อาวุธที่เราใช้ยืนยันได้ว่า เพื่อป้องกันตัวเอง ขณะที่กัมพูชาใช้อาวุธเพื่อโจมตีระยะไกล ไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นการโจมตีเป้าหมายทางพลเรือน รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล การปฏิบัติการสงครามข่าวสาร ใช้ความเห็นสาธารณะ ชวนเชื่อทัศนคติของสังคม ให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายประเทศยอมรับไม่ได้"
นายมาริษ เปิดเผยอีกว่า หลังการเยือนสวีเดนอย่างเป็นทางการแล้ว จะเดินทางไปเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 26 ส.ค.นี้ โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการคือ ไปชี้แจงให้กับประเทศกลุ่มสัญญาอนุภาคี ให้เข้าใจสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งกัมพูชาใช้ยุทธศาสตรฺของการใช้ วัตถุระเบิดสังหารบุคคน ที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และอนุสัญญาออตตาวา และในโอกาสนี้จะพบกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทุ่นระเบิดสังหาร การละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการโจมตีเป้าหมายพลเรือน ของกัมพูชา รวมทั้งการใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ก็ได้ออกมาพูดชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยอย่างมาก และไม่สนับสนุนให้มีการใช้สงครามข่าวสาร ในการต่อสู้โดยใช้พลเรือนเป็นตัวกระทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน ซึ่งในโอกาสนี้ตนจะได้พบปะกับประธาน ICRC พอดี ซึ่งเคยพบกันที่กรุงเทพมหานครแล้ว และทางประธานทราบว่า ตนจะมาเจนีวาก็สามารถมาพูดคุยกันต่อ ได้ ซึ่งจะได้อธิบาย ทั้ง 2ประการเหล่านี้ เพราะ ICRC เป็นองค์กรหลักที่ดูกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งทั้งสามองค์กรที่เราวางกลยุทธ์ จะเข้ามาพูดคุย ชี้แจงก็เพื่อยืนยัน ใน ท่าทีบทบาท ของประเทศไทยที่ชัดเจนว่า เราเป็นประเทศ ที่รักสันติ เราต้องการ แก้ไขปัญหาระหว่างกันอย่างสันติวิธี แต่ต้องมีความจริงใจ และเราก็ปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งยูเอ็นชาร์เตอร์ และหลักการของอาเซียน สิ่งที่ตนกังวล คือการใช้สงครามข่าวสารที่จะทำให้สังคมมีความแตกแยกยิ่งขึ้น ซึ่ง ไม่เป็นสิ่งที่ดีและปรารถนา เพราะไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ
ส่วนที่กัมพูชา รับข้อตกลง 3 ข้อในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (RCB) นั้น นายมาริษ กล่าวว่า เป็นผลมาจากการกดดันในทุกด้าน ด้วยการใช้มาตรการต่างๆ ของรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการทางการทูต การต่างประเทศ สอดคล้องและสนับสนุนมาตรการทางทหาร ขณะเดียวกันมาตรการทางทหาร ก็สนับสนุนทำให้ความสำเร็จ ของรัฐบาลในการชี้แจงให้ชาวโลกได้เข้าใจข้อเท็จจริงทั้งหมด ซึ่งการทำงานทั้งสองด้านขณะนี้ไปด้วยกัน







