2 คดี ‘เปลี่ยนฉาก’ การเมืองไทย โค้งสุดท้ายพ่อ-ลูก ‘ชินวัตร’

2 คดี ‘เปลี่ยนฉาก’ การเมืองไทย โค้งสุดท้ายพ่อ-ลูก ‘ชินวัตร’

หากแพทองธารไม่รอดคดีนี้ ก็เข้าสู่โหมดการเปลี่ยนตัวนายกฯ ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย หรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่นอาจไปต่อได้ไม่นาน โอกาสยุบสภามีสูง

KEY

POINTS

  • คดีการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กำลังเข้าสู่ช่วงตัดสินชี้ชะตา โดยคดีมาตรา 112 ของนายทักษิณมีกำหนดฟังคำพิพากษาในวันที่ 22 ส.ค.68 ส่วนคดีคลิปเสียงของนางสาวแพทองธารจะมีการตัดสินในวันที่ 29 ส.ค.68
  • นางสาวแพทองธารได้เข้ารับการไต่สวนในคดีคลิปเสียงต่อศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นการพิจารณาคดีลับ โดยมีผู้สังเกตการณ์ให้ความเห็นว่าเธอตอบข้อเท็จจริงได้ดีแต่มีจุดอ่อนสำคัญด้านข้อกฎหมาย
  • ผลคำพิพากษาของทั้งสองคดีถูกมองว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของฉากทัศน์การเมืองไทยในอนาคต

คดีความของ “2 พ่อลูก” ตระกูลชินวัตร เข้าสู่จุดไคลแมกซ์สำคัญในทางการเมือง โดยในวันที่ 21 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญ นัดไต่สวน “คดีคลิปเสียง” ของ “แพทองธาร ชินวัตร” กับ “ฮุน เซน” และวันที่ 22 ส.ค.2568 ศาลอาญา นัดฟังคำพิพากษา “คดีมาตรา 112” กรณีกล่าวหา “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ผู้เป็นบิดา หลังให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้เมื่อปี 2558

สำหรับ “คดีคลิปเสียง” ของ “นายกฯ แพทองธาร” นั้น 21 ส.ค.68 ที่ผ่านมา เธอและฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เดินทางมาตามนัดไต่สวนจากศาลรัฐธรรมนูญ โดย “นายกฯ อิ๊งค์” เดินทางมาด้วยสีหน้า “ยิ้มแย้มแจ่มใส” แต่ปฏิเสธให้สัมภาษณ์สื่อ ขณะเดียวกันศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ถ่ายทอดสด หรือถ่ายทอดวงจรปิดให้แก่สื่อ และประชาชนทั่วไปรับทราบ เนื่องจากอ้างว่า เป็นคดีที่เป็นความลับเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ

ราว 2 ชั่วโมง 30 นาทีในการไต่สวน “แพทองธาร” และ “เลขาฯ สมช.” ตั้งแต่ 10.30 น. จนถึง 13.00 น.นั้น มีการเผยแพร่ภาพในห้องพิจารณาคดีแค่ไม่กี่ครั้ง หลักๆ คือ ตอน “แพทองธาร” เข้าไปในห้อง และเรียก “เลขาฯ สมช.” ไต่สวนคนแรก ถัดมาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ฉายภาพ “แพทองธาร” สลับมาเข้าคอกพยานเพื่อไต่สวนต่อ โดยพก “ยาดม” และ “ปากกา” มาด้วย โดยมี 2 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคือ วิรุฬห์ แสงเทียน และนภดล เทพพิทักษ์ เป็นผู้ไต่สวน

หลังจากนั้นในตอนท้าย ฉายภาพ “แพทองธาร” ไต่สวนเสร็จสิ้น ฟังกระบวนพิจารณาจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในขั้นตอนนี้ สีหน้าของเธอ เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด กะพริบตาถี่ มองต่ำ เม้มปาก และกุมมือไว้ด้านหน้าพร้อมทั้งบีบนิ้วโป้ง

  • ปธ.ศาลห้ามแพร่งพรายข้อมูลไต่สวน 

“นครินทร์ เมฆไตรรัตน์” ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ออกประกาศิตย้ำถึง 2 ครั้งคือ ก่อนไต่สวน และหลังการไต่สวนว่า ห้ามมิให้คู่กรณี และบุคคลที่เข้าฟังการไต่สวนในครั้งนี้ แพร่งพรายข้อมูลในการไต่สวนแก่ภายนอก และห้ามบิดเบือนข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ในลักษณะการสร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน

ต่อมา “แพทองธาร-คณะ” ออกมานอกห้อง ได้แสดงสีหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง พร้อมโบกไม้โบกมือ ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่า กำลังใจดีหรือไม่ “แพทองธาร” ไม่ตอบคำถามเพียงแต่พยักหน้ารับ เมื่อถามอีกว่าทำเต็มที่หรือไม่ เธอพยักหน้ารับ ส่วน “ฝ่าย สว.” หลังจากนั้น เธอและครอบครัว เดินไปทางออกอาคารทำความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ก่อนจะขึ้นรถกลับทันที

ขณะที่คู่กรณีอย่าง สว. และกลุ่มผู้สังเกตการณ์อย่าง “สมชาย แสวงการ-คมสัน โพธิ์คง” เมื่อเข้าฟังการไต่สวนเสร็จ ได้เดินทางกลับทันที โดยมิได้ให้สัมภาษณ์

 

  • อ้าง “แพทองธาร” ตอบข้อกฎหมายผิดพลาด

อย่างไรก็ตาม ต่อมา “คมสัน โพธิ์คง” นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ หนึ่งในผู้สังเกตการณ์ ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าฟังการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญในคดีนี้ โพสต์เล่าบรรยากาศในการไต่สวน สรุปได้ว่า “แพทองธาร” เตรียมตัวมาดีตอบศาลในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคลิป และเหตุการณ์ต่างๆ อย่างฉะฉาน แต่เรื่องที่ไม่ได้เตรียม และข้อกฎหมายมีอึ้งเล็กน้อย

ตอบไปตามความรู้ที่ตนมีอย่างหยุมหยิม โดยข้อกฎหมายเป็นจุดอ่อนสำคัญ มีการตอบข้อกฎหมายผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากหลักการของกฎหมายพอสมควร ดูแล้วเสียเปรียบเรื่องข้อกฎหมายอย่างสาหัส ขณะที่ฝ่ายผู้ร้อง(สว.)ถามประเด็นไม่คมนัก แต่ก็ยังสะท้อนว่าทำการบ้านมาพอสมควร

นอกจากนี้ ยังอ้างว่า “แพทองธาร” มีดราม่าสะอึกสะอื้นเล็กน้อย แต่ไม่น่าส่งผลให้มีความสงสารมากนัก เพราะว่าสะอึกสะอื้นผิดคิวไปนิด ทั้งนี้การไต่สวนคดีชั้น 14 ของศาลฎีกาฟังสนุกกว่า มันส์กว่า คมกว่า อย่างไรก็ดี การไต่สวนครั้งนี้ดูแล้วอาจส่งผลต่อคณะรัฐมนตรีชุดนี้ในอนาคต

  • แถลงปิดคดี 25ส.ค.68 ชี้ชะตา 29 ส.ค.68

ขั้นตอนหลังจากนี้เหลือเพียงคำแถลงการณ์ “ปิดคดี” ซึ่งศาลอาศัย พ.ร.ป.ศาลรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 31 เร่งรัดมาให้เร็วขึ้น ในวันที่ 25 ส.ค.68 นี้ เนื่องจากถ้าใช้กำหนดเดิมคือ 27 ส.ค.68 จะทำให้ตุลาการมีเวลาพิจารณาอ่านคำแถลงมาประกอบในสำนวนแค่ 1 วันเท่านั้น ก่อนจะนัดชี้ชะตาในวันที่ 29 ส.ค.2568 ตามเดิม

ดังนั้นข้อมูลในการไต่สวน คงยากที่จะทราบได้ว่า “ตุลาการฯ” ถามสิ่งใด และ “แพทองธาร” ตอบสิ่งใด แต่หากไล่เลียงข้อเท็จจริงจากคำชี้แจงของเธอที่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 4 ส.ค.68 ที่ผ่านมานั้น เธอยืนยันหนักแน่นว่า ไม่ได้กระทำผิดจริยธรรมร้ายแรงตามที่ถูกร้อง อีกทั้งการกระทำของตนเองก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในความสุจริต และเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งแต่ประการใด

ส่วนที่ใช้ถ้อยคำว่า “อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” เป็นเพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน เป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยใช้เทคนิคสำคัญ คือ การตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด

นอกจากนี้ยังอ้างถึง “ฮวด” คนสนิท “ฮุน เซน” เป็นคนกลางประสานเข้ามาเพื่อเสนอให้ได้มีการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน และโน้มน้าวให้ใจเย็นลงได้บ้าง สถานการณ์บริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศน่าจะคลี่คลายได้โดยง่าย และเป็นไปโดยราบรื่นมากขึ้น ต่อมาฝ่ายกัมพูชาปล่อยคลิปการสนทนาระหว่างเธอกับสมเด็จฮุน เซน เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2568 จึงต้องแถลงการณ์เพื่อขอโทษประชาชน และโทรศัพท์ไปอธิบายข้อเท็จจริงและกล่าวคำขอโทษต่อแม่ทัพภาคที่ 2

“วัตถุประสงค์ในการเจรจาของข้าพเจ้านั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ และ ประชาชนส่วนรวม แม้จะมีข้อโต้แย้งว่าอาจมีถ้อยคําบางส่วนที่ไม่เหมาะสม แต่เมื่อคํานึงถึงสถานการณ์ การเจรจาเฉพาะหน้า หากจะรับฟังด้วยใจที่เป็นธรรมจะเห็นว่าข้าพเจ้าได้แสดงออกอย่างชัดเจนที่จะยึดถือ ประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง อีกทั้งสาระสําคัญของการเจรจาดังกล่าว ข้าพเจ้าก็ได้นํามาแจ้งแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง ด้วยยึดมั่นว่า “สุจริตคือ เกราะบังศาสตร์พ้อง” จึงขอศาลโปรดพิจารณาความ สุจริตของข้าพเจ้าเพื่อเป็นคุณแก่การกระทําดังกล่าวด้วย” แพทองธาร ระบุในคำชี้แจงแก่ศาล

  • ไทม์ไลน์คดีคลิปเสียง “แพทองธาร”

สำหรับไทม์ไลน์ของคดีนี้ตามที่ “แพทองธาร” ชี้แจงแก่ศาลรัฐธรรมนูญ คือ

วันที่ 21 มี.ค.2568 แพทองธาร และกองทัพบกร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี ในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมติดตามการทํางานของคณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ปชต.)

วันที่ 28 พ.ค.2568 เวลาประมาณ 15.30 น. เกิดเหตุปะทะบริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เนื่องจากพบทหารกัมพูชาลักลอบก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย

วันที่ 3 มิ.ย.2568 แม้จะเป็นวันหยุดราชการเนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา แพทองธารได้เรียกประชุมหน่วยงานความมั่นคง และกระทรวงการต่างประเทศ ณ ทําเนียบรัฐบาล เพื่อให้การเจรจา ในการปรับกําลังเป็นไปตามกรอบทวิภาคี พร้อมเตรียมร่างแถลงการณ์ฉบับที่ 1

วันที่ 4 มิ.ย.2568 รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์ฉบับ 1 ยึดมั่นในหลักการสันติวิธีในการรักษาอธิปไตย ยึดกรอบการตกลงตาม MOU 43

วันที่ 5 มิ.ย.2568 รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์เรื่องการนําเอาพื้นที่พิพาทไปสู่ การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice - IC)) แพทองธารได้เรียกประชุมกับกระทรวงการต่างประเทศ ณ ทําเนียบรัฐบาล โดยที่รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 กังวลอย่างยิ่งต่อการกระทําของกัมพูชา และเรียกร้องให้กัมพูชาถอนกําลังทหารออกจากพื้นที่ ที่มีการอ้างสิทธิ

วันที่ 6 มิ.ย.2568 แพทองธาร ในฐานะนายกฯ เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ยืนยันว่า รัฐบาลและกองทัพทํางานเป็นเอกภาพ พร้อมมอบให้หน่วยงานความมั่นคง เสนอ 4 ขั้นตอนควบคุมชายแดน รวมถึงการกําหนดเวลาเปิด-ปิดด่าน และมีการแถลงข่าวร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย (อันวาร์ อิบราฮิม) โทรศัพท์มาสอบถามถึง สถานการณ์ และเสนอจะใช้กลไกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ในการแก้ไข ปัญหาดังกล่าว ซึ่งทุกฝ่ายได้ย้ำถึงการแก้ไขสถานการณ์โดยสันติวิธี

ช่วงเย็นวันเดียวกัน กระทรวงกลาโหมกัมพูชารายงานว่า จะไม่ยอมรับในการเจรจาปรับกําลังพลของทั้งสองฝ่ายบริเวณชายแดน

ระหว่างวันที่ 6-14 มิ.ย.2568 แพทองธาร ใช้ความพยายามประชุมกับฝ่ายความมั่นคง และการเจรจาทางการทูต เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยต้องการแก้ไขปัญหาดังกล่าวผ่านการเจรจาทวิภาคี แต่ผู้นำกัมพูชา และ “ฮุน เซน” กลับกดดัน และยั่วยุฝ่ายไทย

  • อ้าง “ฮวด” ขอเข้าพบ-คนติดต่อ “ฮุน เซน”

ต่อมาวันที่ 15 มิ.ย.2568 “ฮวด” คนสนิทของ “ฮุน เซน” ได้ประสานขอเข้าพบแพทองธาร เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดน เธอได้หารือกับเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) แล้วเห็นว่าเห็นสมควรให้ “ฮวด” เข้าพบเพื่อพูดคุยรับทราบสถานการณ์ข้อเท็จจริงที่อาจเป็นประโยชน์

ต่อมา แพทองธาร พร้อมด้วย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม (ขณะนั้น) มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ และเลขาธิการนายกฯ (นพ.พรหมินทร์) จึงให้ “ฮวด” เข้าพบ โดยเขาเสนอ ว่า หากแพทองธารได้มีการพูดคุยกับฮุน เซน และโน้มน้าวให้ใจเย็นลงได้บ้าง สถานการณ์บริเวณชายแดน ของทั้งสองประเทศน่าจะคลี่คลายได้โดยง่าย และเป็นไปโดยราบรื่นมากขึ้น

หลังจากนั้น “ฮวด” แสดงเจตนาว่าจะประสานกับฮุน เซน เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ และเป็นผู้ริเริ่มติดต่อจากโทรศัพท์มือถือของตนเอง แพทองธารไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มหรือเสนอให้มีการสนทนา แต่ “ฮุน เซน” มิได้รับโทรศัพท์ ซึ่งในไทม์ไลน์นี้ “ทักษิณ ชินวัตร” เคยเล่าผ่านรายการ “ผ่าทางตันประเทศไทย กับ 3 ผู้นำทางความคิด” เมื่อ 9 ก.ค.2568 ว่า “ฮวด” เป็นคนโทรศัพท์ติดต่อ “ฮุน เซน” แต่ “ฮุน เซน” หลับ ทำให้ติดต่อไม่ได้ แพทองธาร และคณะ จึงเดินทางกลับ

ต่อมาในช่วงเย็นวันเดียวกัน เมื่อแพทองธารอยู่คนเดียว “ฮวด” ได้ติดต่อกลับมาอีกครั้ง จึงรับโทรศัพท์ โดยไม่ทราบมาก่อนว่าจะต้องพูดคุยกับฮุน เซน แต่เมื่อได้รับโทรศัพท์ฮวดแล้ว ฮวดได้แจ้งว่าจะเชิญฮุน เซน เข้ามาร่วมสนทนาด้วยในลักษณะการสนทนาทางโทรศัพท์ร่วม (Conference Call) แพทองธารจึงได้ตัดสินใจตอบรับที่จะสนทนาทางโทรศัพท์ร่วมดังกล่าวแม้จะอยู่เพียงลําพัง แต่เห็นว่าเป็น โอกาสอันดีที่จะได้พูดคุยกันเพื่อโน้มน้าวฮุน เซน ให้ช่วยเหลือในการร้องขอหรือประสานกับผู้นํารัฐบาล และกองทัพกัมพูชาให้หันหน้าเข้าสู่การเจรจาตามแบบพิธีการระหว่างประเทศเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา จนกระทั่งเป็นมูลเหตุแห่งคดีขึ้น

  • วันที่ 22 ส.ค.68 ศาลพิพากษาคดี ม.112 “ทักษิณ”

ส่วน “คดีฝ่ายพ่อ” อย่าง “คดีมาตรา 112” ของ “ทักษิณ” นั้น ก่อนหน้านี้ศาลได้นัดสืบพยานฝ่ายโจทก์เมื่อวันที่ 1-3 ก.ค.2568 และสืบพยานจำเลยในวันที่ 16 ก.ค.2568 ที่ได้นำ ธงทอง จันทรางศุ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี และนักกฎหมายชื่อดัง และตัวทักษิณ ขึ้นเบิกความ

โดยการสืบพยานทั้ง 4 นัดเป็นการพิจารณาแบบลับไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าฟัง โดยนายทักษิณได้มีการเดินทางเข้ามาฟังการสืบพยานด้วยตนเองทุดนัด มีนักการเมืองคนสำคัญ และบุคคลในครอบครัวมาให้กำลังใจ เช่น สมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย อดีตนายกฯ เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช แกนนำพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย เป็นต้น

  • ผลกระทบ-เปลี่ยนฉากทัศน์การเมือง

ปฏิเสธไม่ได้ว่า 2 คดี พ่อ-ลูก ชินวัตรนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวบุคคล แต่ย่อมส่งผลกระทบต่อฉากทัศน์การเมืองไทย โดยเฉพาะความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ จะมีเสถียรภาพต่อไปได้อย่างไร และยังมีความสุ่มเสี่ยงจะกลายเป็นความปั่นป่วนทางการเมืองครั้งใหม่

สำหรับคดีคลิปเสียงหากนายกฯ แพทองธาร รอดพ้นความผิด แม้รัฐบาลยังเดินหน้าต่อไปได้แต่ในฐานะนายกฯ หรือผู้นำรัฐบาล ก็มีแผลทางการเมือง จากข้อกังขาในสังคมที่ยังคงอยู่ และไม่พ้น ต้องกลายเป็นจุดอ่อนให้ถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตี โดยเฉพาะม็อบพลังแผ่นดินย่อมไม่เลิกรา

หากแพทองธารไม่รอดคดีนี้ ก็เข้าสู่โหมดการเปลี่ยนตัวนายกฯ และไม่ว่าจะเป็นนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย หรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่นก็อาจไปต่อได้ไม่นาน โอกาสจะยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่มีสูง และนั่นหมายถึงการเปิดเกมการเมืองใหม่อีกครั้ง

ส่วนคดี ม.112 ที่จะพิพากษาในวันนี้ของทักษิณ ชินวัตร ก็เช่นกันไม่ว่าคำพิพากษาจะออกมาในแนวทางใดย่อมมีผลต่อภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำหลังม่าน และผู้จัดการรัฐบาล ซึ่งอาจส่งผลต่อกระแสการเมืองได้เช่นกัน

หากทักษิณรอดคดีนี้ อาจถูกนำไปขยายผลของคนบางกลุ่ม เพื่อจุดกระแสวิจารณ์ความสองมาตรฐานของคดี ม.112 หรือหากแพ้คดี ก็อาจลดกระแส แรงผลักดันประเด็นแก้ ม.112 ไปได้บ้าง

 คดีความของ “แพทองธาร-ทักษิณ” ที่กำลังเดินเข้าสู่ฉากสุดท้ายไม่ว่าคำพิพากษาทั้ง 2 คดีจะออกมาหน้าใดย่อมเลี่ยงไม่พ้น ผลกระทบต่อฉากทัศน์การเมืองไทย สมการที่ “ทักษิณ-เพื่อไทย” พยายามล็อกพรรคร่วมเดิมเอาไว้ อาจไม่เหมือนเดิม 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์