ดีเอสไอร่วมวงคุ้ย ‘เขากระโดง’ ใช้หลักฐาน รฟท.ลุย ‘คดีพิเศษ’

ความเคลื่อนไหวของทุกองคาพยพที่เกี่ยวข้องกับ “เขากระโดง” ที่เริ่มเดินหน้าไปแล้ว หลังจากนี้ต้องจับตาว่า “บ้านใหญ่อีสานใต้” และ “มวลชนในพื้นที่” จะเดินเกมอย่างไรต่อ
KEY
POINTS
- กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าร่วมสืบสวนกรณีพิพาทที่ดินเขากระโดง โดยเตรียมพิจารณายกระดับเป็น "คดีพิเศษ"
- การสืบสวนอาศัยพยานหลักฐานจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นหลัก ซึ่งอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินกว่า 5,083 ไร่
- ดีเอสไอมุ่งตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานในคดีฟอกเงิน
ความคืบหน้ากรณี “เขากระโดง” ภายหลัง “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย พร้อมด้วย “เดชอิศม์ ขาวทอง” รมช.มหาดไทย เดินเครื่องเต็มสูบ สั่งเพิกถอนที่ดินบริเวณเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ กว่า 5,083 ไร่ โดยส่งเรื่องไปยังการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการรื้อถอนได้ตามกฎหมาย
แต่โดนแรงต้านกลับจากบรรดา “บ้านใหญ่อีสานใต้” เนื่องจากในจำนวนที่ดินกว่า 5,083 ไร่ดังกล่าวนั้น มีอยู่อย่างน้อย 12 แปลง 288 ไร่เศษ เป็นของเครือข่ายธุรกิจ “ตระกูลชิดชอบ” ที่ปรากฏชื่อ “ครูใหญ่อีสานใต้-ครอบครัว” เข้าไปถือหุ้นอยู่ ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวจาก “ก๊กน้ำเงิน” ทันควัน ส่งทนายความ แถลงคัดค้านคำสั่ง มท.ที่ “สนามช้างฯ” พร้อมกับเดิน “เกมมวลชน” ปลุกชาวบ้านที่มีเอกสารสิทธิหลายร้อยราย ยืนกรานค้านคำสั่ง มท.ดังกล่าว โดยยืนยันว่า จะไม่ยอมย้ายออกจากที่ดินเป็นอันขาด เนื่องจากได้มาอย่างถูกต้อง
โดยการแถลงที่สนามช้างฯ จ.บุรีรัมย์ นั้น “ทิวา การกระสัง” หนึ่งในทีมทนายความสู้ “คดีเขากระโดง” มีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกระทรวงมหาดไทย หลังเปลี่ยนสีมาเป็น “สีแดง” อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน แถมอ้างพยานหลักฐาน พร้อมยืนกรานว่า ที่ดินเขากระโดงดังกล่าวที่ได้มานั้นถูกต้องตามกฎหมาย
ทำเอา “มท.อ้วน” ต้องออกโรงเตือนให้ใช้คำพูด “เบาๆ หน่อย” และท้าว่าหากที่ดินได้มาถูกต้องจริง ให้ไปฟ้องศาลเอา จน “ทิวา” ต้องทำจดหมายเปิดผนึกกราบเรียนด้วยความเคารพ ขอโทษ “ภูมิธรรม” อย่างเป็นทางการ เนื่องจากในวันแถลงข่าวดังกล่าว ใช้วาจาในลักษณะหยาบคาย ก้าวร้าว เปรียบเทียบ ด่าว่าตามที่มีการเสนอข่าวทางภาพ และเสียง ซึ่งเป็นการกล่าววาจาไม่เคารพ และอาจทำให้เกิดความเสียหาย
ยื่นสอบมรรยาท “ทนายเขากระโดง”
ล่าสุดวันที่ 18 ส.ค.68 “ภูมิธรรม” มอบหมายทีมทนายความ ไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการสอบสวนมรรยาททนายความ ของสภาทนายความ กรณีเมื่อวันที่ 7 ส.ค.68 ที่ผ่านมา ทิวา การกระสัง ได้ร่วมทีมทนายความผู้รับผิดชอบในคดีพิพาทที่ดินเขากระโดง ตั้งโต๊ะแถลงข่าวกับตอบโต้กระทรวงมหาดไทย ที่มีคำสั่งเพิกถอนเอกสิทธิ์ในที่ดินเขากระโดง โดยใช้คำพูดรุนแรงกับภูมิธรรม โดยเฉพาะประเด็นจะฟ้องร้องดำเนินคดี ให้นายภูมิธรรมถูกจำคุก 5,000 ปี และใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อว่านายภูมิธรรมอย่างรุนแรง
โดยเห็นว่า พฤติกรรมดังกล่าวขัดต่อข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ.2529 ในเรื่องของการประพฤติตนอันเป็นการฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดี และจริยธรรม รวมทั้งเป็นกระทำการอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องคดีกัน ทำให้นายภูมิธรรมมอบอำนาจให้ตนมาร้องต่อคณะกรรมการมรรยาททนายความเพื่อเอาผิด สำหรับขั้นตอนการสอบสวนมรรยาททนายความ หากพบว่ามีความผิดจะมีการลงโทษ 3 ระดับ คือ ภาคทัณฑ์ ห้ามการเป็นทนายความไม่เกิน 3 ปี และลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ เป็นดุลพินิจของคณะกรรมการมรรยาททนายความ ว่าดำเนินการพิจารณาลงโทษอย่างไรต่อไป
ประเด็นน่าสนใจ ท่ามกลางการเดิมหมากฮึ่มๆ ใส่กันระหว่าง “ก๊กแดง” และ “ก๊กน้ำเงิน” โดยเอาเรื่อง “เขากระโดง” มาสวนหมัดกับ “สนามกอล์ฟอัลไพน์-บริษัทโรงแป้งมัน” ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง “มาตรฐาน” ในการบังคับใช้กฎหมายก็ตาม แต่ในทางข้อเท็จจริงก็ยังไม่มีท่าทีใดๆ ที่เริ่มดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อทวงคืนที่ดินกลับคืนรัฐ นอกเสียจากการ “สาดน้ำลาย” กันผ่านสื่อ
ดีเอสไอร่วมวงสอบเขากระโดง
อย่างไรก็ดีเริ่มมีความเคลื่อนไหวจากกลไกของรัฐ นั่นคือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่มี “มท.อ้วน” ในฐานะรองนายกฯ นั่งเป็นประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เริ่มหยิบจับเงื่อนปม “เขากระโดง” มาเริ่มสืบสวนใน “คดีฟอกเงิน” และเล็งจะดำเนินการยกเป็น “คดีพิเศษ” แล้ว โดยอ้างอิงพยานหลักฐานจาก “รฟท.” พบมีผู้ถือครองที่ดินกว่า 995 แปลง รวม 5,083 ไร่ และมีประเด็น 12 หน่วยงานราชการที่มีที่ตั้งในพื้นที่พิพาทด้วย
ความเคลื่อนไหวนี้มีตั้งแต่ 6 ส.ค.68 ที่ผ่านมา โดยคณะพนักงานสืบสวนในเรื่องสืบสวนที่ 97/2568 ได้ประชุม เพื่อพิจารณากรณีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการครอบครอง และการออกเอกสารสิทธิในที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ อันอาจเป็นที่ดินของรัฐ และเกี่ยวข้องกับกลุ่มคณะบุคคลหลายฝ่าย การดำเนินการดังกล่าวสืบเนื่องจากมีผู้ร้องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินของกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย คณะพนักงานสืบสวนได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานในเบื้องต้น ได้แก่ การสอบปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง การรวบรวม และตรวจสอบพยานหลักฐาน การประสานเอกสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมที่ดิน การรถไฟแห่งประเทศไทย และจังหวัดบุรีรัมย์
ใช้ข้อมูล รฟท. มี ส.ค.1 ไว้ครอบครอง
ต่อมาเมื่อ 17 ส.ค.68 ที่ผ่านมา พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายให้ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผอ.กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการสืบสวนเรื่องข้อร้องเรียนดังกล่าว จากการสืบสวนเบื้องต้นพบว่า เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2498 การรถไฟแห่งประเทศไทยได้มีการแจ้ง ส.ค.1 เลขที่ 1180 เนื้อที่ประมาณ 5,083 ไร่ โดยการได้มาของที่ดิน ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟ พ.ศ.2464 เป็นการที่ทางรถไฟแสดงถึงการนำเอาที่ดินที่ได้มีการหวงห้ามเอาไว้ตาม พรฎ. 2464 มาแจ้ง ส.ค.1 เนื่องจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ(1 ธันวาคม 2497) โดยไม่มีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน จึงได้ไปแจ้งการครอบครองต่อนายอำเภอเมืองบุรีรัมย์ เพื่อเป็นพยานหลักฐาน นอกจากนี้ยังพบว่าในบริเวณที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย มีราษฎรหลายรายแจ้ง ส.ค.1 ไว้เช่นเดียวกัน
การแจ้ง ส.ค.1 ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ไม่ก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่แก่ผู้แจ้ง ส.ค.1 แต่ประการใด และมาตรา 10 ที่ดินที่หวงห้ามไว้ตามพระราชบัญญัติสงวนหวงห้ามที่ดินว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 หรือกฎหมายอื่นก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับให้เป็นที่หวงห้ามต่อไป ดังนั้นผู้ที่แจ้ง ส.ค.1 แปลงอื่นต้องห้ามไม่ให้ออกเอกสารสิทธิที่ดินเนื่องจากเป็นที่หวงห้ามของการรถไฟแห่งประเทศไทย เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิดีกว่าได้ครอบครองมาก่อนพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟ พ.ศ. 2464
นอกจากนี้พบว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยได้เคยนำ ส.ค.1 ไปยื่นขอออกโฉนดที่ดินเมื่อเดือนมิถุนายน 2530 และมีการนำรังวัดได้โฉนดที่ดิน 13 แปลง เนื้อที่ประมาณ 477 ไร่ ส่วนที่เหลือมีเหตุขัดข้องไม่สามารถดำเนินการได้ จึงค้างการดำเนินการอยู่ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์
จากสารบบที่ดินจะมีหนังสือแจ้งเตือนว่าหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินฉบับนี้อยู่ในเขตที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย ก่อนจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมใดๆ ให้แจ้งคู่กรณีทราบถึงสาเหตุที่หนังสือแสดงสิทธิที่ดินอาจถูกยกเลิกเพิกถอนหรือแก้ไขหากคู่กรณีทราบแล้วยังประสงค์จะดำเนินการให้บันทึกถ้อยคำไว้แล้วจดทะเบียนต่อไปได้
นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้ครอบครองที่ดินในพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคลเพียงรายเดียวที่ครอบครองที่ดินเนื้อที่มากกว่า 400 ไร่เศษ หากพบว่าผู้ครอบครองรายใดกระทำผิดทางอาญาที่เกี่ยวกับออกเอกสารสิทธิในที่ดินอาจเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงินในความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ ยึดถือ หรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ หรือกระบวนการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันมีลักษณะเป็นการค้า รวมทั้งอาจมีเจ้าหน้าที่ของรัฐหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ก็จะดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
เล็งยกเป็น “คดีพิเศษ” สางข้อเท็จจริง
ล่าสุด มีรายงานข่าวจาก ดีเอสไอ แจ้งว่า ความคืบหน้าภายหลังจากที่ดีเอสไอได้รับข้อมูลจาก รฟท.มาเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะแผนที่เดิมทั้งหมดที่มีอยู่แล้ว อย่างแผนที่ของการรถไฟ พ.ศ.2465 (แผนที่แนบท้าย พ.ร.ฎ.) ด้วยอัตราส่วน 1:4000 จากนั้นทางส่วนแผนที่ และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะจัดทำแผนที่จำลองภาพถ่ายดาวเทียมในอัตราส่วนขนาดเดียวกันขึ้นมา หรือที่เรียกว่า “แผนที่การจัดซื้อที่ดิน” ประกอบพระราชกฤษฎีกามาซ้อนทับกับภูมิประเทศในปัจจุบัน เพื่อใช้เทียบมาตราส่วนกับแผนที่ปัจจุบัน ซึ่งศาลปกครองได้มีการเสนอไปแล้ว
และโฉนดที่กรมที่ดินออกให้ เช่น โฉนดที่ดิน นส.3 หรือแม้กระทั่งบางพื้นที่ที่ยังไม่มีเอกสารหรือการครอบครอง จะได้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างแท้จริง และจะเห็นว่าขอบเขตของพื้นที่ของการรถไฟฯ เป็นอย่างไร เพื่อจะใช้ลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ระหว่าง 19-22 ส.ค.68 นี้ ในการเข้าพบเจ้าหน้าที่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ของ รฟท.เพื่อขอข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานที่ดิน จ.บุรีรัมย์ และสำนักงาน จ.บุรีรัมย์ เป็นต้น
ล่าสุด วานนี้(19 ส.ค.68) เดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย ที่กำกับดูแลกรมที่ดิน อัปเดตการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินเขากระโดง ว่า เอาไว้พูดหลังอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ก่อน เพราะเป็นหน้าที่ของอธิบดีคนใหม่ และย้ำว่าอำนาจหน้าที่สั่งได้ทุกเรื่องทุกแปลงทั่วประเทศ ที่ดินหลวงทุกตารางนิ้วต้องเอามาเป็นของหลวงให้ได้ และทุกตารางนิ้วต้องทำเอกสารสิทธิให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุด
ทั้งหมดคือ ความเคลื่อนไหวของทุกองคาพยพที่เกี่ยวข้องกับ “เขากระโดง” ที่เริ่มเดินหน้าไปแล้ว หลังจากนี้ต้องจับตาว่า “บ้านใหญ่อีสานใต้” และ “มวลชนในพื้นที่” จะเดินเกมอย่างไรต่อ สุดท้ายจะยอมรับข้อเสนอของ รฟท. นั่นคือ ยอมเจรจาเพื่อนำไปสู่การเช่าที่ดิน และจ่ายเงินย้อนหลัง หรือจะเดินหน้าลุยฟ้องศาล สู้จนสุดทาง ต้องติดตามกันต่อไป







