นักการเมืองไทยกับการมุ่งหาผลประโยชน์ภายใต้วงจรคอร์รัปชัน | สมหมาย ภาษี

เราคนไทยจะได้ยินได้ฟังเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันของข้าราชการ และนักการเมืองที่บริหารบ้านเมืองแทบทุกรัฐบาล มาจนชาชินกันแล้ว
เรื่องนี้เป็นที่สุดของรากเหง้าที่ฉุดรั้งความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติอย่างแสนสาหัสมานาน
เริ่มต้นมาจากรูปแบบการคอร์รัปชันธรรมดาๆ ด้วยการโกงผ่านวิธีการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว ส่งส่วยให้นักการเมือง ด้วยการส่งเป็นเงินสดใส่กระเป๋าเจมส์บอนด์จนถึงยัดเงินใส่ตู้เย็นเป็นลูกๆ
พัฒนาการของการคอร์รัปชันของไทยที่ทันสมัยเร็วกว่าการพัฒนาประเทศ
การคอร์รัปชันในประเทศไทยเรา อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ามาจากการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยด้วยการเลือกตั้งตามแนวทางของชาติตะวันตก
แต่แทนที่การทุจริตคอร์รัปชันจะหายไป กลับเพิ่มกลไกของพรรคการเมืองที่จำเป็นต้องหาเงินมาซื้อเสียงและซื้อตัวผู้แทนหรือ สส. ท้องถิ่นที่เป็นนักเลือกตั้งมาอยู่ร่วมพรรค เพื่อสร้างความเป็นใหญ่และอำนาจในการบริหารประเทศ
แม้จะมีการปฏิวัติรัฐประหารและมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหลายช่วงของการปกครอง แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำลายล้างกระบวนการคอร์รัปชันของประเทศให้หมดไปได้
ตรงกันข้ามในยุคที่โทรศัพท์มือถือและระบบ IT เบ่งบานกับกลายเป็นการขยายวงของการประพฤติชั่วของข้าราชการและนักการเมืองไทยให้ขยายออกไปในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย โดยเฉพาะในประเทศเมียนมา และกัมพูชา
การพัฒนาของการคอร์รัปชันในประเทศไทยแบบธรรมดา ได้แผ่วงกว้างไปถึงธุรกิจสีเทาทั้งหลาย ตั้งแต่บ่อนกาสิโนไปจนถึงธุรกิจสีดำ เช่น การพนันออนไลน์ คอลเซ็นเตอร์
ขณะที่ธุรกิจมืดเก่าแก่ เช่น การค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ ที่รัฐบาลพยายามปราบปรามก็เป็นเรื่องที่ยิ่งปราบยิ่งมากทั้งในประเทศเราเองและประเทศเพื่อนบ้าน
การสะดุดและชะงักงันของกระบวนการคอร์รัปชันหลังเลือกตั้งครั้งล่าสุด เมื่อ 14 พฤษภาคม 2566
การสะดุดและชะงักงันของการคอร์รัปชันของไทยไม่ได้เกิดจากการปราบปรามหรือการริเริ่มของรัฐบาลไทยแต่อย่างใด แต่หลังจากการเลือกตั้งใหญ่ไม่นาน ทางรัฐบาลจีนซึ่งทนให้ประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างประเทศเมียนมาปล่อยให้มีการตั้งศูนย์ทำเรื่องคอลเซ็นเตอร์ลุกลามถึงประเทศจีนอย่างสนุกสนานไม่ได้
จึงได้ขอให้ไทยช่วยร่วมมือปราบปรามให้หมดไปด้วย โดยทางการจีนได้ส่งเจ้าหน้าที่และนักการเมืองระดับสูงเข้ามาดูแลการปฏิบัติการในประเทศไทยเราอย่างใกล้ชิด
จากนั้นคนไทยก็ได้เห็นการสะดุดและชะงักงันของธุรกิจสีเทาและสีดำทั้งในประเทศเมียนมาและประเทศกัมพูชา และเราก็ได้รู้แจ้งเห็นชัดกันว่า ที่แท้การเบ่งบานของธุรกิจการเงินจำนวนมากเหล่านั้นในประเทศเพื่อนบ้าน
มันมาจากการสนับสนุนของข้าราชการและนักการเมืองของไทยเป็นหลัก มันเกิดจากการวางเฉยของนักการเมืองไทยมานาน เพราะเหตุใดคงไม่จำเป็นต้องสาธยายกันอีกแล้ว
อาการฝีแตกของการร่วมมือสนับสนุนธุรกิจสีเทาและสีดำข้ามแดน อาการนี้ได้เกิดให้ผู้คนและสื่อไทยเห็นชัดจากการปรับเปลี่ยนจุดยืนของความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา
มาจากการออกอาการหักดิบเล่นงานนักการเมืองไทยโดยสมเด็จฮุนเซน ผู้นำที่คร่ำหวอดของกัมพูชาที่สนิทสนมกับอดีตท่านนายกผู้ยิ่งใหญ่ของไทย
เริ่มจากการเปิดเผยคลิปสนทนาทางโทรศัพท์ข้ามประเทศกับนายกรัฐมนตรีของไทยเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน เร็วๆนี้ กระทั่งถึงขั้นมีการก่อสงครามชายแดนระหว่างประเทศกัมพูชากับไทย
จนเราได้เห็นทหารไทยได้ปฏิบัติการรบที่ห้าวหาญและรอบคอบ สามารถปกป้องทั้งประชาชนคนไทยและอธิปไตยของชาติ สมกับเป็นรั้วของชาติอย่างแท้จริง
กล่าวได้ว่าประชาชนคนไทยได้เห็นทหารไทยทำหน้าที่นี้อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในช่วงกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา จนมีการสำนึกและตระหนักของคนไทยทั้งประเทศถึงความสำคัญของทหารอย่างไม่เคยเห็น ลบล้างความเห็นที่เคยดูถูกดูแคลนการเล่นบทบาทการเมืองของทหารในอดีตให้ลดลงได้มาก
เรื่องฝีแตกนี้ได้บานปลายและส่งผลให้ท่านนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ของไทยถูกกล่าวหาในข้อหาที่ร้ายแรง จนถูกคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 และต้องรอคำตัดสินให้เป็นที่สุดที่กำหนดไว้ในไม่กี่วันข้างหน้า เป็นวันที่ 29 สิงหาคม ศกนี้
แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศที่ตกอยู่ระหว่างเขาควายทมิฬก็ขอให้ทนรอไปอีกไม่กี่วันข้างหน้า ตอนนี้อย่าเพิ่งทำตัวเป็นตุลาการ
คงไม่ใช่เป็นเรื่องคว่ำตายหงายเป็นอย่างธรรมดา เพราะหากศาลท่านพิพากษาให้ท่านนายกรัฐมนตรีคนเดิมที่เข้าใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีศรัทธาจะให้อยู่ต่อ ประเทศและคนไทยจะอยู่อย่างปกติสุขได้หรือ
และหากผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าท่านต้องพ้นจากตำแหน่ง ก็มีผู้รู้หลายต่อหลายคนเห็นว่า ปัญหาของอาการป่วยไข้ของประเทศก็จะยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปากอุโมงค์อยู่ดี
ตามรัฐธรรมนูญฉบับรุ่งริ่งในปัจจุบันนี้จะยังคงมีรูปทรงของสภาผู้แทนที่ยังมีอายุถึงประมาณ 2 ปี แล้วสภาที่ทรงเกียรตินี้จะมีปัญญาเลือกนายกรัฐมนตรีของประเทศคนใหม่และคณะรัฐมนตรีใหม่ที่น่าศรัทธาของประชาชนได้หรือ ถ้าได้ก็คงออกมาแบบคนป่วยที่มีแต่สายช่วยหายใจระโยงระยางเต็มไปหมด
ณ วันนี้คนไทยที่รักชาติทั้งหลายคงคิดเหมือนกัน และคงมีความกังวลเหมือนกันว่า นับจากวันที่ 29 สิงหาคมนี้ เป็นต้นไป นักการเมืองไทยจะเปลี่ยนเป็นนักการเมืองที่ไม่จ้องหาแต่ผลประโยชน์จากชาติ แต่จะมุ่งทำงานเพื่อชาติจริงๆ อย่างที่ทหารหาญของไทยได้กระทำให้เห็นได้หรือไม่.







