วัดใจ ‘แพทองธาร’ สู้หน้าบัลลังก์ ลุ้นนายกฯ ชินวัตร คนที่ 3 รอด-ร่วง

วัดใจนายกฯ แพทองธาร เดินหน้าสู้คดีคลิปร้อนในชั้นศาลรัฐธรรมนูญดับกระแสลาออก ลุ้นเป็นนายกฯ ชินวัตร คนที่ 3 จะได้ไปต่อหรือยุติบทบาท ทางการเมือง
KEY
POINTS
- วัดใจ "แพทองธาร ชินวัตร" สู้หน้าบัลลังก์ศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีคลิปร้อน นัดชี้ชะตาสถานะนายกรัฐมนตรี 29 ส.ค.2568
- ข้อกล่าวหา ขาดความซื่อสัตย์สุจริต และฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นข้อหาลักษณะเดียวกับที่ทำให้อดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่ง
- บรรดา สส.เพื่อไทยคาดการณ์ว่า "แพทองธาร" จะเดินทางไปศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยตนเองเพื่อต่อสู้คดี และจะไม่ลาออกก่อนมีคำวินิจฉัย
- ชะตากรรมของ "แพทองธาร" ถูกเปรียบเทียบกับอดีตนายกฯ ในตระกูลชินวัตร ทั้ง "ทักษิณ" และ "ยิ่งลักษณ์" ซึ่งเคยเผชิญคดีในศาลรัฐธรรมนูญ
นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย และนายกฯ คนที่ 31 “แพทองธาร ชินวัตร” จะได้ไปต่อ หรือยุติบทบาทการเมือง อยู่ที่ผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค.2568 นี้ จากคดีคลิปร้อนสั่นสะเทือนการเมืองระหว่างประเทศ และภายในประเทศ
สืบเนื่องจากประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดสถานะความเป็นนายกฯ ของ "แพทองธาร ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
ตีตราด้วยข้อกล่าวหา “แพทองธาร” ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
เป็นอาวุธหนักทางลัดของการเมืองขั้วตรงข้าม หวังสูงต้องการสอยให้พ้นจากตำแหน่งไม่ต่างจาก “เศรษฐา ทวีสิน” นายกฯ คนที่ 30 ที่ต้องปิดฉากทางการเมืองด้วยข้อกล่าวหาดังกล่าวเมื่อปีก่อน
ด่านต่อไป จะเป็นการวัดใจของ “แพทองธาร” จะเดินทางไปศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อไต่สวนพยานบุคคล 2 ปาก ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดไว้หรือไม่ ในวันที่ 21 ส.ค.68 นี้ ซึ่งตรงกับวันเกิดครบรอบปีที่ 39 พอดี
ในฐานะที่ “แพทองธาร” เป็นผู้ถูกร้อง จะไปศาลด้วยตัวเองหรือไม่ก็ได้ ทั้งหมดล้วนเป็นเทคนิคการต่อสู้คดี ซึ่งกุนซือข้างกายย่อมพยายามวางเกม ไม่ให้เพลี่ยงพล้ำขณะออกหน้าสู้บนบัลลังก์ศาล
หากย้อนไปในสมัยบิดา คือ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่เคยถูกยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญในคดีซุกหุ้นเมื่อปี 2544 ทิ้งวาทะอันลือลั่นว่า “บกพร่องโดยสุจริต” ครั้งนั้นคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 7 เสียงเมื่อวันที่ 3 ส.ค.2544 ให้พ้นข้อกล่าวหา
ขณะที่ผู้เป็นอาของ “แพทองธาร” คือ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกฯ คนที่ 28 ก็เดินทางไปศาลรัฐธรรมนูญด้วยตัวเองเพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหาในคดีก้าวก่ายแทรกแซงการโยกย้าย “ถวิล เปลี่ยนศรี” พ้นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติพ้นจากตำแหน่งเมื่อ 7 พ.ค.2557 ด้วยมติเอกฉันท์ 9 เสียง จากกรณีก้าวก่ายแทรกแซงการโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช. โดยมิชอบ
คำวินิจฉัยครั้งนั้นเกิดขึ้นในขณะที่ “ยิ่งลักษณ์” ได้ยุบสภาผู้แทนราษฎรและอยู่ระหว่างรอการเลือกตั้งทั่วไป กระทั่งวิกฤติการเมืองจุดชนวนนำไปสู่การรัฐประหาร 22 พ.ค.2557
การเมืองไทยหลังรัฐธรรมนูญปี 2560 จนเข้าสู่ปีที่ 8 “อนุรักษนิยม” ไม่จำเป็นต้องใช้องคาพยพอย่าง “กองทัพ” ออกหน้ารัฐประหารล้มฝ่ายการเมือง แต่สามารถใช้องคาพยพ “รัฐพันลึก” เดินเกม “นิติสงคราม” เข้ามาโค่นล้มฝ่ายการเมืองได้
เห็นได้จากการโค่นล้มผู้นำจิตวิญญาณพรรคสีส้ม และยุบพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล รวมทั้งกำจัดนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยไป 1 คนเมื่อปี 2567
ภาพที่บรรดา สส.พรรคเพื่อไทย ต่างเข้าให้กำลังใจ “แพทองธาร” ในระหว่างการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 เมื่อวันที่ 15 ส.ค.2568 อาจแสดงให้เห็นว่า “แพทองธาร” ยังคงมีกำลังใจที่ดีอยู่
ขณะที่ สส.ไม่อยากให้ “นายน้อย” ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ หลายคนยังคงเชื่อว่า “นายน้อย” จะรอดพ้น และเดินหน้าไปต่อในตำแหน่งนายกฯ ก่อนจะนับถอยหลัง รอจังหวะที่เหมาะสมเพื่อยุบสภาฯ ในฉากทัศน์ต่อไป
ท่ามกลางกระแสข่าวลือต่างๆ ว่า “แพทองธาร” อาจชิงลาออก จากนายกฯ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย เพื่อไม่ให้ตัวเองด่างพร้อยในเรื่องคุณสมบัติ แต่ สส.และรัฐมนตรีข้างกาย เชื่อมั่นว่า “นายน้อย” จะไม่ทิ้งเก้าอี้นายกฯ ก่อนวันที่ศาลตัดสินอย่างแน่นอน
การชิงลาออกเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญจำหน่ายคดีออกนั้น ใช่ว่าจะส่งผลดีต่อนายกฯ ตระกูลชินวัตร เพราะยังคงมีคดีร้อนอื่นๆ ที่จะทยอยเข้าสู่การพิจารณาขององค์กรอิสระ ที่ “แพทองธาร” ยังต้องลุ้นว่า จะพ้นตำแหน่งอีกหรือไม่ หากต้องรอดพ้นคดีคลิปเสียงนี้
จับท่าที และการงดให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนของ “แพทองธาร” ในช่วงระยะหลัง ถูกมองว่าไม่ต้องการให้กระทบต่อบรรยากาศการเมืองไทยในเดือนสิงหาร้อน ซึ่งเป็นเดือนเกิดเธอ และยังเป็นเดือนที่ชี้จุดเสี่ยงความเป็นไปในสถานะทางการเมืองของเธอ
ครั้งหนึ่ง “แพทองธาร” เคยให้สัมภาษณ์เมื่อครั้งรับบทหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วม และนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย เมื่อปี 2565 ถึงการเข้าสู่เส้นทางการเมืองตามรอยบิดา ว่า
“ช่วงที่เราอยากเข้าการเมือง เพราะคุณพ่อคือ ฮีโร่ของเรา ในช่วงที่เราไม่เอาเลยกับการเมือง เพราะเราเจ็บ แต่ช่วงนี้ เป็นช่วงของโอกาสโซเชียลมีเดีย เป็นช่วงของการเปิดเผยความตรงไปตรงมา ความมีสิทธิมีเสียงที่เท่าเทียมกัน มันคือ เวลาของเรา มันคือ เวลาของคนที่พร้อมจะเผชิญกับเรื่องจริง”
ครั้งนั้น “แพทองธาร” ยังระบุถึง การถอดบทเรียนฉากจบของบิดา และอาแท้ๆ ของเธอว่า “ระบบนิเวศการเมืองไทย ยังเป็นการใส่ร้ายป้ายสี เพื่อทำให้อีกคนเสียเครดิต แต่อิ๊งค์ว่า โซเชียลมีเดียเข้ามา ถ้าครั้งนั้นไทยรักไทยมีโซเชียลมีเดีย จะไม่เกิดปัญหามากมายขนาดนี้ จะไม่เกิดการเข้าใจผิดมากมายขนาดนี้ อิ๊งค์มั่นใจว่าถ้าคุณพ่อ มีสื่อในมือเหมือนที่อิ๊งค์มีอินสตาแกรม เฟซบุ๊ก คงได้แจ้งอะไรลงไปอย่างรวดเร็ว และทันการณ์ คงไม่ต้องยืดเยื้อกันมานานขนาดนี้”
ย้อนรอยจังหวะการต่อสู้ “นิติสงคราม” ของนายกฯ เครือข่ายตระกูลชินวัตร ทั้งหมดต่างเผชิญข้อกล่าวหาเรื่องคุณสมบัติในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ ล้วนไปเผชิญหน้าสู้บนบัลลังก์ของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทบทั้งสิ้น
บิดา และอาของ “แพทองธาร” ไปพิสูจน์ข้อกล่าวหาต่อองค์คณะตุลาการ สุดท้าย “ยิ่งลักษณ์” ต้องพ้นจากนายกฯ ขณะที่ “ทักษิณ”ในที่สุดก็ต้องถูกปิดฉากลงด้วยอำนาจนอกระบบอย่าง “รัฐประหาร”
สส.ในพรรคเพื่อไทยเชื่อว่า “แพทองธาร” น่าจะเดินหน้าต่อสู้ข้อกล่าวหา โดยไปศาลรัฐธรรมนูญด้วยตัวเองในวันที่ 21 ส.ค.68 นี้ และเชื่อว่าจะไม่ลาออกก่อนศาลตัดสิน ส่วนผลคำวินิจฉัย ยังคาดเดาได้ยาก
นายกฯ ชินวัตร ทั้ง “ทักษิณ” และ “ยิ่งลักษณ์” ต้องพ้นตำแหน่งในตอนจบด้วยรัฐประหาร ขณะที่ “แพทองธาร” อาจได้ไปต่อหรือไม่ หรือพ้นตำแหน่งนายกฯ ด้วยกลไก “นิติสงคราม” หรือไม่
ทั้งหมดอยู่ที่สถานการณ์ และเงื่อนไขที่ผู้กำกับ “รัฐพันลึก” จะคุมทิศทางการเมืองไทยต่อจากนี้อย่างไร จะยังเลือกใช้บริการ “พรรคเพื่อไทย” และ “คนชินวัตร” ต่อหรือไม่ ในห้วงที่การเมืองไทยยังต้องเผชิญวังวนสามก๊กในการเลือกตั้งครั้งหน้า
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







