ส่องเกมเพื่อไทย ในกระแสขาลง ‘ชัยเกษม’ขัดตาทัพ รอ‘ยุบสภาฯ’

ประเมินฉากทัศน์ทางรอด-ไม่รอดของ นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ในกรณีที่พ้นตำแหน่งจากคดีคลิปร้อน ทางพรรคเพื่อไทยวางเกมต่อไปคือดัน "ชัยเกษม นิติสิริ" ขึ้นเป็นนายกฯ ทันที
KEY
POINTS
- สส.รัฐบาลวิเคราะห์คดีคลิปร้อน "นายกฯ แพทองธาร" โอกาสมีทั้ง 50 ต่อ 50 คือรอดและไม่รอด
- ฉากทัศน์ ที่นายกฯแพทองธาร "ไม่รอด" ยังคงมีความเป็นไปได้สูง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ปกติ
- แผนสำรองด่วนที่ "พรรคเพื่อไทย" ต้องเร่งปิดเกมโหวตนายกฯ คนใหม่ให้จบเร็วที่สุด ด้วยการเสนอชื่อ "ชัยเกษม นิติสิริ" หาก "แพทองธาร" ไม่ได้ไปต่อในตำแหน่งนายกฯ
- อำนาจ“ยุบสภาฯ” ก่อนครบวาระ เป็นทางรอดหนึ่งที่ผู้มีอำนาจสูงสุดในพรรคเพื่อไทย จำเป็นต้องเลือกใช้ ไม่ว่านายกฯหลังวันที่ 29 ส.ค.จะเป็น “แพทองธาร” หรือ “ชัยเกษม” เพื่อไม่ให้คะแนนนิยม “เพื่อไทย” ทรุดลงไปกว่านี้
การเมืองไทยมีแนวโน้มว่า “รัฐบาลเพื่อไทย” กำลังเดินเข้าสู่วังวน ซ้ำรอยประวัติศาสตร์ที่นายกฯ จากเครือข่ายตระกูล “ชินวัตร” มีโอกาสสูงที่จะถูก “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ
ไล่เรียงนายกฯ จากเครือข่ายชินวัตร ตั้งแต่ “สมัคร สุนทรเวช” นายกฯ คนที่ 25 “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” นายกฯ คนที่ 26 “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกฯ คนที่ 28 “เศรษฐา ทวีสิน” นายกฯ คนที่ 30
ทั้งหมดนี้ ถูกโค่นล้มด้วยกระบวนวิธีพิจารณาในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ หลังเหตุการณ์ รัฐประหาร ปี 2549 ต่อเนื่องหลังรัฐประหารปี 2557
ต้องยอมรับว่า กลไกเครือข่าย“รัฐพันลึก”หรือ“ปีกอนุรักษนิยม” ยังคงเป็นเรื่องที่“พรรคเพื่อไทย” รวมทั้ง “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่อาจคอนโทรลอำนาจเหล่านี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ
นายกฯ ตระกูลชินวัตร คนล่าสุด “แพทองธาร ชินวัตร” ยังสุ่มเสี่ยงไม่น้อย มีโอกาสทั้งได้ไปต่อ และไม่ได้ไปต่อ
เวลางวดเข้ามาทุกที ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง “แพทองธาร” ในฐานะผู้ถูกร้องกับ สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค.2568 เวลา 15.00 น.
ท่ามกลาง การวิเคราะห์ในหมู่ สส.ซีกรัฐบาล หลายคนต่างมองว่า โอกาสมีทั้ง 50 ต่อ 50 คือรอดและไม่รอด
มีการประเมินว่า ฉากทัศน์ ที่นายกฯแพทองธาร "ไม่รอด" ก็มีความเป็นไปได้สูง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ปกติ ด้วยสถานการณ์ที่เร่งรัดให้คดีต้องรีบชี้ขาด ผนวกกับความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่มีทีท่าจะยุติ สร้างปัญหากวนใจรัฐบาล จนไม่สามารถผลักดันนโยบายสำคัญได้
ส่วนองค์คณะตุุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้ 1 เสียงตุลาการคนใหม่ ซึ่งถูกเชื่อมโยงเครือข่ายสีน้ำเงิน หากได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเข้าไปเป็นองค์คณะ 9 คน โอกาสที่ “แพทองธาร” อาจถูกวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่งตามรอย “นายกฯ เศรษฐา” ในปมปัญหามาตรฐานจริยธรรมและความซื่อสัตย์สุจริตเป็นประจักษ์ ก็มีโอกาสสูงอยู่ไม่น้อย
ขณะที่ฉากทัศน์ “ทางรอด” จากการประเมินสัญญาณบวก มองว่าหากการวินิจฉัยเป็นไปในทางเป็นลบต่อ นายกฯแพทองธาร ก็อาจเข้าทางกัมพูชา และอาจถูกมองว่าไม่ได้เป็นการปกป้องอธิปไตยของประเทศไทย
ในกรณีที่ นายกฯ“แพทองธาร” ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ หลังวันที่ 29 ส.ค.นี้ แน่นอนว่า จะต้องมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเดินเกมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
ประเมินออปชั่นที่ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร ส่งสัญญาณไปยัง “เครือข่ายอำนาจ” ทั้งหน้าฉาก-หลังฉาก โดยเชื่อว่า การเมืองไทยยังไม่ถึงทางตัน
ทางรอดแรก หาก “แพทองธาร” รอด ก็สามารถกลับมามีอำนาจเต็มในฐานะนายกฯ และเดินหน้าผลักดันนโยบายของพรรคเพื่อไทย
ทางรอดที่สอง หาก “แพทองธาร” หลุดนายกฯ แน่นอนว่า ชื่อของ “ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกฯ คนที่ 3 ของพรรคเพื่อไทยจะถูกเสนอให้ชื่อให้เป็นนายกฯ คนที่ 31 ต่อเนื่องทันที
ทางเลือกที่สาม หากสถานการณ์ไม่เป็นใจต่อ “พรรคเพื่อไทย” และ คนชินวัตร ก็จำเป็นที่จะต้องใช้อำนาจยุบสภาฯ ที่เป็นอำนาจของ “รักษาการนายกฯ” คือ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ผ่าทางตันทางการเมือง เพื่อไปนับหนึ่งใหม่ ในสนามเลือกตั้งทันที
ตรวจสอบเสียง สส.ซีกพรรคร่วมรัฐบาล ณ ปัจจุบัน สส.ในสภาผู้แทนราษฎรที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อยู่มีอยู่ 492 คน ดังนั้นเสียงเกินกึ่งหนึ่งต้องมีมากกว่า 246 คน
พรรคร่วมรัฐบาล มีเสียงในสภาฯ แบบทางการ 253 เสียง แบ่งเป็น พรรคเพื่อไทย 140 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคกล้าธรรม 25 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 สียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง และพรรคไทยก้าวหน้า 1 เสียง
ขณะเดียวกันยังได้ สส.พันธมิตรในทางลับจากพรรคไทยสร้างไทย ประมาณ 3 เสียงในกลุ่มฐากร ตัณฑสิทธิ์ รวมทั้งได้ สส.เครือข่ายพรรคกล้าธรรมที่อยู่ซีกฝ่ายค้านมาร่วมโหวตเห็นชอบนายกฯ ของค่ายเพื่อไทย ล่าสุดยังเสียง สส.กำแพงเพชร 2 เสียงจากพรรคพลังประชารัฐ ที่เพิ่งโหวตเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมาร่วมโหวตนายกฯ คนใหม่ ให้กับพรรคเพื่อไทย
ประเมินจำนวนเสียงโดยรวมแล้ว หากพรรคเพื่อไทยยังตรึงกำลัง สส.ในซีกเดิมได้เบ็ดเสร็จ ก็ย่อมได้เสียงเห็นชอบ “ชัยเกษม”เป็นนายกฯ ขัดตาทัพ ไม่ต่ำกว่า 260 เสียง โดยต้องเร่งปิดเกมโหวตนายกฯ คนใหม่ให้จบเร็วที่สุด เพราะเงื่อนไขเวลานี้พรรคร่วมรัฐบาลยังไม่พร้อมที่จะยุบสภาฯ เพื่อเข้าสู่สนามเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ไทม์ไลน์อายุของรัฐบาลเพื่อไทย หลังวันที่ 29 ส.ค.นี้ หากนายกฯ ยังเป็น “แพทองธาร” แน่นอนว่าสถานการณ์ก็ยังไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะคะแนนความนิยมของ “แพทองธาร” นับวันมีแต่ทรุดลงเรื่อยๆ จากปัญหาเรื่องการผลักดันนโยบาย โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งการแก้ปัญหาความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชาซ้ำเติม ผนวกกับการถูกมองว่าเป็นนายกฯ ที่ยังมือไม่ถึง สุดท้ายปลายทาง ก็คงต้องเดินหน้าไปสู่การ “ยุบสภาฯ” อยู่ดี
ไม่ต่างจากนายกฯ คนถัดไป หากเป็นชื่อของ “ชัยเกษม” ถึงอย่างไร“ผูู้มีอำนาจสูงสุด”ในพรรคเพื่อไทย และคนในทำเนียบรัฐบาลต้องวางหมาก นับถอยหลังยุบสภาฯอยู่ดี แม้ “ชัยเกษม”ซึ่งมีปัญหาสุขภาพ จะยืนยันความพร้อม แต่ความคิดความอ่านก็อาจไม่ได้สมบูรณ์เต็มร้อย
“สมมตินายกฯ อิ๊งค์ได้เป็นนายกฯต่อ ถึงศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินเป็นผลบวก แต่รัฐบาลก็คงเดินไปต่อได้ยาก เพราะความเชื่อมั่นนายกฯ ลดลงเยอะช่วงนี้ ขณะเดียวกันในช่วงปีใหม่นี้ จะมีการเลือกท้องถิ่น นายก อบต.4,000 แห่ง หากยุบสภาฯในช่วงนั้น คงไม่เหมาะ ถ้าจะให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ดังนั้น ไทม์ไลน์คงมีการประเมินกันว่า อาจยุบสภาฯ เร็วสุดในช่วงต้นปี 2569 เดินหน้าไปถึงปี 2570 อาจเป็นเรื่องยาก” แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุ
อีกทั้งการบริหารอารมณ์ความรู้สึกของประชาชน เป็นเรื่องยากที่พรรคเพื่อไทยจะแก้สถานการณ์ได้ เพราะหากนายกฯ ยังเป็น “แพทองธาร” ความเชื่อมั่น อาจยังไม่ได้ฟื้นขึ้นอย่างรวดเร็ว
อำนาจ“ยุบสภาฯ” ก่อนครบวาระ จึงเป็นทางรอดหนึ่งที่ผู้มีอำนาจสูงสุดในพรรคเพื่อไทย จำเป็นต้องเลือกใช้ และตัดสินใจ ไม่ว่านายกฯหลังวันที่ 29 ส.ค.จะเป็น “แพทองธาร” หรือ “ชัยเกษม” ก็ตาม เพื่อไม่ให้คะแนนนิยม “เพื่อไทย” ทรุดลงไปกว่านี้







