ชำแหละข้อต่อสู้ ‘แพทองธาร’ แจงศาล ‘เทคนิคเจรจา-ไร้เจตนา’

คำชี้แจงของ “แพทองธาร” ในคดี “คลิปเสียง” ดังกล่าว ซึ่งต้องรอฟังคำอธิบายอย่างเป็นทางการจากเธอ และเลขาธิการ สมช.ในการไต่สวนพยานวันที่ 21 ส.ค.68 อีกครั้ง
KEY
POINTS
- แพทองธารชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าการสนทนากับฮุน เซน เป็นไปโดยไม่มีเจตนาทำลายผลประโยชน์ของชาติ แต่มุ่งรักษาสันติภาพและความมั่นคงตามแนวชายแดน
- ถ้อยคำที่ใช้ในคลิปเสียง เช่น "อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอก" เป็นเพียงเทคนิคการเจรจาทางการทูตเพื่อค้นหาความต้องการของคู่เจรจาและลดความตึงเครียด ไม่ใช่การยอมโอนอ่อน
- ยืนยันว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามข้อมูลและคำแนะนำของฝ่ายความมั่นคง และได้ยื่นบัญชีพยานเพื่อพิสูจน์เจตนาบริสุทธิ์ในการกระทำ
สิงหาร้อนเขย่าเสถียรภาพรัฐบาล ทำเอา “ชินวัตร” ร้อนรุ่ม เพราะมี 2 คดีสำคัญของ 2 “พ่อ-ลูก” ชี้ขาดภายในเดือนนี้
นั่นคือ 1.วันที่ 22 ส.ค.2568 ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษา “คดีมาตรา 112” กรณีกล่าวหา “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ผู้เป็นบิดา 2.วันที่ 29 ส.ค.2568 ศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำวินิจฉัย “คดีคลิปเสียง” กรณีกล่าวหา “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ และ รมว.วัฒนธรรม ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่
คดีดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลัง “คลิปเสียง” ที่เธอคุยส่วนตัวกับ “ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา เจรจากันเรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ช่วงเดือนมิ.ย.ถูกปล่อยหลุดออกมาผ่านสื่อ ส่งผลให้ “สว.สีน้ำเงิน” ซึ่งขณะนั้นกำลังเพลี่ยงพล้ำเกมนิติสงครามเข้มข้นใน “คดีฮั้ว สว.” สบช่องล่าชื่อ พร้อมชงประธานวุฒิสภา ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความทันทีว่า เข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ต้องพ้นจากเก้าอี้หรือไม่
นับตั้งแต่ 1 ก.ค.2568 ที่ผ่านมา “แพทองธาร” เก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยสื่อสารผ่านสื่อมากนัก ภายหลังถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว โดยมักสื่อสารผ่านภาพลักษณ์เน้นการทำงานเป็นหลัก ส่วนเรื่องอื่นจะไม่ขอก้าวล่วงดุลพินิจของศาล ทั้งนี้เธอได้ยื่นขอขยายเวลาชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ 2 ครั้ง และเพิ่งส่งคำชี้แจงไปตามกำหนดเส้นตายเมื่อ 4 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา
ในคำชี้แจงที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก คือ ขอให้ศาลสั่งเลิกสั่งหยุดการปฏิบัติหน้าที่ โดยการยื่นบัญชีพยาน ขอให้ไต่สวนเพิ่มเติม 5 ปาก ได้แก่ 1.ฉัตรชัย บางขวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) 2.อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย 3.พล.อ.ภุชงค์ รัตนวรรณ ข้าราชการบำนาญในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชา 4.พล.ท.พุฒิพงษ์ ชีพสมุทร รองเจ้ากรมทหาร 5.ธนาธิป อุปัติศฤงค์ อดีตทูตไทยประจำการในพื้นที่หลายประเทศ
โดยในบัญชีพยานทั้ง 5 ปากดังกล่าว “แพทองธาร” ยืนยันว่า ทั้งหมดรับทราบถึงเจตนาอันแท้จริง และวิธีปฏิบัติทางการทูต และความมั่นคง ที่ปรากฏผ่าน “คลิปเสียง” ดังกล่าว อีกทั้งเพื่อให้ศาลฯ ได้รับทราบถึงความคิดเห็นว่าการดำเนินการของตนในช่วงเหตุการณ์ ไม่ได้กระทำโดยมีเจตนาตามที่ผู้ร้องกล่าวหา หรือเป็นการละเมิดบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ทั้งยังเป็นการดำเนินการตามข้อมูล และคำแนะนำของฝ่ายความมั่นคงที่ประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้าน และเพื่อแสดงว่าเจตนาของตนมุ่งเพื่อรักษาเอกราชอธิปไตย และความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่เจตนาดังที่ผู้ร้องกล่าวหา จึงขอศาลโปรดพิจารณาอนุญาตให้มีการไต่สวนพยานบุคคลดังกล่าว เพื่อให้การพิจารณาคดีมีความครบถ้วน รอบด้าน และเป็นธรรม โดยปราศจากข้อสงสัยอันอาจกระทบต่อความชอบธรรม และสถานะของข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศ
อย่างไรก็ดี ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งไต่สวนพยานแค่ 2 ปากคือ 1.ตัวแพทองธารเอง 2.ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. ในวันที่ 21 ส.ค.2568 และนัดส่งคำแถลงการณ์ปิดคดีภายในวันที่ 27 ส.ค.68 นี้
ต่อมาส่วนที่สองคือ การชี้แจงถึง “เจตนา” และ “เทคนิคทางการทูต” โดยสรุปข้อเท็จจริงได้ว่า การเจรจากับสมเด็จฮุน เซน เป็นความพยายามในการสร้างความไว้วางใจ เพื่อนำไปสู่ประเด็นการสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาเท่านั้น
สำหรับถ้อยคำว่า “อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” มีแต่เพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญคือ การตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ในลักษณะไม่โจมตีจุดยืนของคู่เจรจา แต่มุ่งทำความเข้าใจความต้องการที่อยู่เบื้องหลังมากขึ้น เพื่อจะได้นำมาพิจารณาเจรจาต่อรองเงื่อนไข ที่จะนำไปสู่การยุติความตึงเครียดที่เกิดขึ้น
ส่วนถ้อยคำที่กล่าวถึง แม่ทัพภาคที่ 2 (พล.ท.บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น “ฝั่งตรงข้าม” นั้น ดังที่ได้ชี้แจงว่า นายฮวด คนสนิทของสมเด็จฮุน เซน พยายามอธิบายมูลเหตุของการที่สมเด็จฮุน เซน สั่งการให้มีการปิดด่านชายแดนของฝ่ายกัมพูชา เนื่องมาจากความไม่พอใจของสมเด็จฮุน เซน ที่มีต่อแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นการเฉพาะเจาะจง
จึงจำต้องใช้เทคนิคการเจรจา ที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบ หรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใด แต่เป็นการอธิบายสถานการณ์ต่อฝ่ายกัมพูชา ในเชิงสร้างความเข้าใจว่า ฝ่ายบริหารของไทย มีเจตนาที่จะรักษาสันติ และไม่ได้เป็นการโอนอ่อน หรือเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากแต่เป็นการดำเนินนโยบายโดยอาศัยหลักทางการทูต เพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศ และป้องกันความขัดแย้งที่อาจลุกลาม
ข้างต้น คือ คีย์เวิร์ดสำคัญของ “แพทองธาร” ที่พยายามอธิบาย “เจตนา” ในการโทรศัพท์คุยส่วนตัวกับ“ฮุน เซน” ซึ่งถ้อยความการหารือนั้น เป็น “เทคนิคทางการทูต” ส่วนเรื่องคำอธิบายเกี่ยวกับ “แม่ทัพภาคที่ 2” นั้น ยืนยันว่าไม่ได้ตำหนิ แต่เป็นการอธิบายสถานการณ์เพียงเท่านั้น
ในช่วงท้าย “แพทองธาร” อ้างว่า ก่อนโทรศัพท์คุยกับ “ฮุน เซน” นั้น ได้หารือในช่วงบ่ายวันที่ 15 มิ.ย.2568 ที่ผ่านมา ระหว่างตนเอง ภูมิธรรม เวชยชัย เมื่อครั้งเป็นรองนายกฯ และรมว.กลาโหม มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ และ“หมอมิ้ง” พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ โดยพฤติการณ์ตลอดบทสนทนาดังกล่าว อยู่ในกรอบแห่งแนวนโยบายการต่างประเทศ ซึ่งดำเนินการโดยสันติวิธีตามหลักสากล หาใช่การดำเนินการในเชิงลับ หรือมีเจตนาบ่อนทำลายผลประโยชน์ของรัฐไม่
อีกทั้งยังอ้างว่า ผู้ร่วมสนทนา คือ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ไม่ได้มีสถานะตามกฎหมายภายในของประเทศตน หรือภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศที่จะสามารถกระทำการอันก่อให้เกิดผลผูกพันทางนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐได้
ทั้งหมดคือ คำชี้แจงของ “แพทองธาร” ในคดี “คลิปเสียง” ดังกล่าว ซึ่งต้องรอฟังคำอธิบายอย่างเป็นทางการจากเธอ และเลขาธิการ สมช.ในการไต่สวนพยานวันที่ 21 ส.ค.68 อีกครั้ง และต้องรอดูคำแถลงการณ์ปิดคดีนี้ในวันที่ 27 ส.ค.68 ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะนำมาประกอบในสำนวน เพื่อพิจารณา และลงมติในวันที่ 29 ส.ค.2568 นี้
ฉากทัศน์ของเรื่องนี้ ออกได้ 3 ทาง 1.ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย “ยกคำร้อง” เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอรับฟังว่า พฤติการณ์ของ “แพทองธาร” ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง 2.ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย “ลงดาบ” เนื่องจากเห็นว่ามีพฤติการณ์ตามที่ถูกกล่าวหา และ 3.แพทองธารตัดสินใจ “ลาออก” ก่อนที่ศาลจะมีคำวินิจฉัย ทำให้คำร้องดังกล่าวตกไป ไม่ต้องหยิบยกมาวินิจฉัยอีก และพ้นจากเรื่องนี้ไป
ส่วนนายกฯ “แพทองธาร” จะตัดสินใจอย่างไร คงต้องรอลุ้นระทึก ก่อน 29 ส.ค.68 นี้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







