หรือนี่อาจเป็นแผนการที่กัมพูชาวางไว้ตั้งแต่แรก! วิเคราะห์จากนักวิชาการการทูต

หรือนี่อาจเป็นแผนการที่กัมพูชาวางไว้ตั้งแต่แรก! วิเคราะห์จากนักวิชาการการทูต

ตามสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นในประเด็นพื้นที่ชายแดน จะเห็นแนวทางที่ชัดเจนของทั้ง 2 ประเทศ คือไทยอยากจะเจรจาทวิภาคี (คุยกัน 2 ประเทศ)

KEY

POINTS

  • นักวิชาการทางการทูต วิเคราะห์สถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ว่ากัมพูชามีแผนดึงประชาคมโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง
  • เหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นอาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนกัมพูชา เพื่อสร้างภาพให้ไทยเป็นผู้รุกราน และใช้เป็นเหตุผลในการยื่นเรื่องต่อ UNSC ทันที
  • อำนาจ VETO ของสมาชิกถาวร UNSC ไทยจึงไม่สามารถกระทำรุนแรงอย่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน หรือ อิสราเอล-ปาเลสไตน์
  • จีนเป็น 1 ในสมาชิกถาวร UNSC และมีบทบาทในกัมพูชาเป็นอย่างมาก

ตามสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นในประเด็นพื้นที่ชายแดน จะเห็นแนวทางที่ชัดเจนของทั้ง 2 ประเทศ คือไทยอยากจะเจรจาทวิภาคี (คุยกัน 2 ประเทศ)

แต่กัมพูชาอยากจะลากประชาคมโลกมาร่วมด้วยแบบพหุภาคี กัมพูชาได้ยื่นฟ้องต่อศาลโลกไปแล้ว และไทยแก้เกมด้วยการปฏิเสธอำนาจของศาลโลก ซึ่งก็เท่ากับว่าเกมที่กัมพูชาพยายามจะใช้ประชาคมโลกนั้นยากยิ่งขึ้น

การยั่วยุจึงเกิดขึ้นในทุกวัน เพราะหากใครยิงก่อนหรือเริ่มก่อน (โดยไม่มีเหตุอันเหมาะสมที่รับฟังได้จริงๆ และมีหลักฐานชัดเจน) จะตกเป็นผู้ร้ายในประชาคมโลกผ่านสนธิสัญญาระหว่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ โดยทันที! และผลที่ตามมาจะเป็นไปในวงกว้างเป็นอย่างมาก อาจลุกลามถึงการถูกโดดเดี่ยวในประชาคมโลก ซึ่งผลกระทบก็มีมากขึ้นเป็นวงกว้าง

(ไทยเองจึงทำอะไรตามอารมณ์ของคนในไทยแบบรวดเร็ว รุนแรงให้สะใจตามอารมณ์คนมากไม่ได้ … บางคนบอกเราเก่งกว่า ถล่มไปเลยวันเดียวเรียบ ใช่ ศักยภาพเราอาจทำได้ แต่ผลกระทบระยะต่อมามีมากมายมหาศาลกว่านั้น และจะเข้าทางกัมพูชา (นึกภาพละครน้ำเน่า เมียหลวงผู้วางตัว เมียน้อยผู้น่าสงสาร และพระเอก))

ดังนั้นจะด้วยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เหตุการณ์ปะทะจริงระหว่างกันที่เกิดขึ้น ก็ดูเหมือนจะเข้าทางกัมพูชา เพราะไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการปะทะ ก็มีจดหมายจากนายกฮุน มาเนตไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) โดยทันที (เนื้อหาเน้นย้ำว่ากัมพูชาต้องการความสงบ และไทยเป็นผู้รุกราน และโจมตีก่อน … สอดคล้องกับที่ภาคประชาชนไปคอมเมนต์ในแหล่งข่าวต่างประเทศทุกที่!)

แต่ทว่าล่าสุด ไทยเองก็มีการวางแผนมาดีเช่นกันก่อนการประกาศเรียกทูตกลับและส่งทูตกัมพูชากลับประเทศ (Persona Non Grata) เพราะมีการเปิดเผยว่า กัมพูชาส่งจดหมายดังกล่าวนี้ไป UNSC แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย เดินทางไปนิวยอร์ก (สำนักงาน UN) แล้ว

ซึ่งถือว่าทำได้ดี เพราะระดับ รมว. อยู่ที่สำนักงาน UN แล้ว ดังนั้น การเจรจา ชี้แจง ย่อมจะทำได้ดีกว่า และแสดงให้เห็นว่าไทยยังมีความจัดเจนในทางการทูตอยู่ มีการวางแผนดักทาง เตรียมป้องกันไว้ค่อนข้างดี

UNSC คืออะไร? มีอำนาจอะไร?

UNSC มีสมาชิกถาวร 5 ประเทศ (ที่มีสิทธิ์ VETO ตีตกประเด็นใดๆ ก็ได้ในโลก) นั่นคือสหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน และรัสเซีย บวกกับสมาชิกไม่ถาวร (ไม่มีอำนาจ VETO) ที่ผลัดกันเป็นอีก 10 ประเทศ รวมกันเป็น 15 ประเทศ

UNSC ถือเป็นหัวใจของ UN … ตามมาตรา 24 และ 25 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ระบุว่า (Article 24 [1]) [The UN nations] agree that in carrying out its duties under this responsibility the Security Council acts on their behalf"

(Article 25) [The UN nations] agree to accept and carry out the decisions of the Security Council in accordance with the present Charter"

อ่านรายละเอียดอำนาจของ UNSC  

นั่นหมายความว่า มติหรือข้อตกลงใดๆ ของ UNSC จะถือเป็นการประกาศใช้ในฐานะขององค์การสหประชาชาติโดยรวมทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งทุกประเทศสมาชิกและองค์กรภายใต้ UN ทุกองค์กร

ทีนี้เมื่อมีประเทศใดประเทศหนึ่ง (ที่อยู่ในความขัดแย้ง) ยื่นเอกสารเพื่อขอให้ UNSC พิจารณาความขัดแย้ง (ซึ่งไม่ต้องรอดูท่าทีของฝ่ายตรงข้ามขัดแย้งคนตนเองเหมือนศาลโลก)

UNSC ก็จะมีอำนาจในการออกมติหรือดำเนินการใดๆ เพื่อให้ประเทศต่างๆ เหล่านั้นยุติความขัดแย้ง ดังนั้น ส่วนนี้จึงเป็นส่วนสำคัญที่ไทยต้องระมัดระวัง

เส้นทางของการพิจารณาหลักๆ แล้วทาง UNSC ก็จะพิจารณาคำร้องก่อน > เห็นสมควร ก็ตั้งคณะกรรมการ (มาตรา 33) ตรวจสอบอย่างละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น

(มาตรา 34) > พยายามให้แนวทางที่เหมาะสมเพื่อแก้ปัญหา (ซึ่งมักจะเริ่มด้วยเชิงการทูต เพื่อแก้ปัญหาด้วยสันติภาพ (มาตรา 36, 37, 38) > พิจารณาพฤติกรรมของชาติที่ขัดแย้งว่ามีอะไรที่ขัดต่อการสร้างสันติภาพบ้าง

(มาตรา 39) > เรียกผู้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งมาอภิปรายเพื่อหามาตรการทางออก (มาตรา 40), และออกใช้มาตรการ (มาตรา 41)

… ซึ่งหากไปถึงปลายทางแล้ว มติว่ายังไง ไทยก็คงต้องทำตาม เพราะเป็นรัฐสมาชิก UN และอยู่ในประชาคมหลักของโลกในระเบียบโลกปัจจุบัน (ซึ่งก็หมายความว่า กัมพูชาสามารถลากไทยเข้าสู่รูปแบบเจรจาพหุภาคีได้สำเร็จ)

ทีนี้ในระหว่างการพิจารณาต่างๆ ตามขั้นตอนข้างต้น ก็ต้องดูว่าใครฝ่ายใคร โดยเฉพาะสมาชิกถาวร UNSC

(หลายคนมากว่า ไม่ต้องใส่ใจก็ได้ ดูรัสเซีย-ยูเครน หรือ อิสราเอล-อิหร่าน ไม่เห็นมีอะไรชัดเจน อย่าลืมว่าประเทศขัดแย้งเหล่านั้น มี Backup เป็นสมาชิกถาวร UNSC ที่มีอำนาจ VETO ดังนั้น เรื่องก็ตีตกไป … ไทยเองมีความสามารถและความสัมพันธ์กับ 5 ชาตินั้นขนาดไหน ก็ต้องประเมินกันต่อ)

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ จึงอาจตีความได้ว่าเป็น approach ที่กัมพูชาวางไว้ และก็ดูเข้าทางเสียด้วย (ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่มีกระแสข่าวว่าเครื่องบินส่วนตัวของสมเด็จฮุนเซนบินไปยังประเทศจีน  …จีนเป็น 1 ในสมาชิกถาวร UNSC และมีบทบาทในกัมพูชาเป็นอย่างมาก)

เรื่องนี้เป็นบทพิสูจน์ที่ท้าทายของไทยในเกมการเมืองโลกเป็นอย่างมาก และยากขึ้นไปอีกเพราะเกิดในยุคที่ไทยเองขาดเสถียรภาพทางการเมือง แต่อีกฝ่ายเสถียรภาพทางการเมืองแข็งแกร่งมาก

ไทยต้องรีบดำเนินการเชิงรุกในองค์กร UN และต้องเร่งสื่อสารเชิงรุกต่อประชาคมโลก และแสดงท่าทีชัดเจนในปฏิบัติการต่างๆ ของไทยว่าเป็นไปเพื่อสันติภาพ และอาจต้องไม่ใช่ในลักษณะทางการอย่างเดียว

อาจต้องมีอีกทีมที่ต้องสื่อสารกึ่งทางการที่กระชับ เร็ว (แต่ต้องชัดเจนว่าใครเป็นเจ้าภาพ ไม่อย่างนั้นสะเปะสะปะเหมือนตอนนี้) เพราะสื่อเดี๋ยวนี้เร็ว ไทยต้องตั้งวอร์รูมสื่อสารนานาชาติหลายภาษา และต้องทันเหตุการณ์ (instant)

เหงื่อตก แต่ก็ขอให้ทุกคนปลอดภัย.