29 ส.ค.ชี้ชะตา ‘แพทองธาร’ ศาล รธน.นัดลงมติปมคลิปฉาว ‘ฮุน เซน’

29 ส.ค.ชี้ชะตา ‘แพทองธาร’ ศาล รธน.นัดลงมติปมคลิปฉาว ‘ฮุน เซน’

ศาล รธน.นัดชี้ชะตา ‘แพทองธาร’ ปมคลิปเสียงฉาว ‘ฮุน เซน’ วันที่ 29 ส.ค.68 นี้ นัดไต่สวนพยาน 2 ปาก ‘อิ๊งค์-เลขาฯ สมช.’ วันที่ 21 ส.ค.68 นัดส่งคำแถลงปิดคดีวันที่ 27 ส.ค.68

KEY

POINTS

  • ศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติ และอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เพื่อชี้ขาดสถานะนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร
  • คดีนี้สืบเนื่องจากกรณีสมาชิกวุฒิสภายื่นคำร้องให้ตรวจสอบคุณสมบัตินายกฯ จากปมคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน แห่งกัมพูชา
  • ข้อกล่าวหาหลักคือ นางสาวแพทองธาร ขาดความซื่อสัตย์สุจริต และฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงในการปฏิบัติหน้าที่
  • ก่อนวันตัดสิน ศาลได้นัดไต่สวนพยานบุคคล 2 ปาก คือ นางสาวแพทองธาร และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในวันที่ 21 สิงหาคม  2568

เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2568 ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาคดีที่น่าสนใจ เรื่องพิจารณาที่ 18/2568 กรณีประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่

กรณีนี้สมาชิกวุฒิสภา รวม 36 คน เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) ว่า ปรากฏคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งผู้ถูกร้องแถลงข่าวยอมรับว่าเป็นเสียงการสนทนาของตนกับสมเด็จ ฮุน เซน จริง 

แม้ผู้ถูกร้องจะแถลงข่าวในเวลาต่อมาว่า เป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัวโดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวลเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุข และอธิปไตยของไทยก็ตาม แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคำร้องเห็นว่า ผู้ถูกร้องแสดงออกถึงความนิ่งเฉย และไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบหรือกำหนดมาตรการรวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเอง ให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทำ เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ถูกร้องเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม 

ผู้ถูกร้องไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 422 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา กำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก คือ ผู้ถูกร้อง และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 นาฬิกา พยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียก หากไม่มาตามกำหนดนัดถือว่าไม่ติดใจเป็นพยานบุคคล และให้ผู้ร้องหรือผู้ถูกร้องที่ประสงค์จะแถลงการณ์ปิดคดีให้ยื่นเป็นหนังสือต่อศาลภายในวันพุธที่ 27 สิงหาคม 2568 หากไม่ยื่นภายในกำหนดถือว่าไม่ติดใจยื่น 

โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงด้วยวาจาปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 09.30 นาฬิกา นัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 15.00 นาฬิกา เป็นต้นไป ณ ห้องพิจารณาคดี ชั้น 3 ศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศาลรัฐธรรมนูญจะอนุญาตให้ผู้เข้าฟังการไต่สวน และฟังคำวินิจฉัยเป็นรายบุคคล

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์