80 ปีแห่งโมฆสงคราม : 80 ปี วันสันติภาพไทย

นักเขียนชื่อดังอย่าง อาจินต์ ปัญจพรรค์ เขียนในหนังสือ “บอมบ์กรุงเทพฯ” ว่า ระหว่าง พ.ศ. 2484-2488 ซึ่งเขามีอายุ 14-18 ปีนั้น “ในชีวิตของประเทศไทย มีเหตุการณ์อันร้อนผ่าวที่สุดอยู่ในปี 2484-2488
เป็นประวัติศาสตร์ที่ทารุณที่สุดของชาติ คือเกิดสงคราม”
ขณะที่ สรศัลย์ แพ่งสภา เขียนปิดท้ายหนังสือ "หวอ ชีวิตไทยในไฟสงครามโลกครั้งที่ 2" ของเขาว่า “วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ประกาศพระบรมราชโองการสันติภาพในสงครามมหาเอเชียบูรพา ไม่มีเสียงไชโยครั้งใดจะกึกก้องทั่วแผ่นดินไทยเท่าครั้งนี้”
16 สิงหาคม 2568 จึงนับเป็นวาระพิเศษครบรอบ 80 ปีแห่งการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเทศไทย กล่าวคือ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2488 นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้ “ประกาศสันติภาพ”
ว่า การประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2485 โดยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นโมฆะ เพราะนายปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการฯ คนหนึ่งในคณะ ไม่ได้ร่วมลงนามด้วย และการประกาศสงครามนั้นเป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตจำนงของประชาชนชาวไทย จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ เป็นอันใช้บังคับมิได้
กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงแล้ว ประเทศไทยไม่ได้ตกเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม เพราะประเทศไทยมีขบวนการเสรีไทยทั้งในและนอกประเทศ ทำงานใต้ดินเพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติเอาไว้นั่นเอง
ขบวนการเสรีไทยมีนายปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และผู้สำเร็จราชการฯ เป็นหัวหน้าใหญ่ดูแลงานภาพรวม และงานในประเทศ มีนายจำกัด พลางกูร เป็นเลขาธิการของขบวนการ
สำหรับภายนอกประเทศ มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทยสายอเมริกา และมีคนไทยในอังกฤษก่อตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นที่นั่น มีแกนนำอย่างเช่น ม.จ.ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน และนายป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นต้น
นายปรีดี พนมยงค์ ในการสวนสนามของขบวนการเสรีไทย 25 ก.ย. 2488
ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนินกลาง (ภาพจากหอภาพยนตร์ องค์การมหาชน)
ขบวนการนี้มีเป้าหมายร่วมกันในการรักษาเอกราชและสันติภาพของประเทศในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และพิทักษ์รักษาระบอบประชาธิปไตยของประเทศที่เพิ่งจะสถาปนามาได้ไม่กี่ปีให้อยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง
ซึ่งน่าดีใจที่ขบวนการเสรีไทยทำสำเร็จในการรักษาเอกราช ไม่ให้ไทยต้องถูกปรับเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม และตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจ รวมถึงนำสันติภาพกลับคืนมา ดังมีการประกาศสันติภาพเป็นพยาน
ปัจจุบันมีอนุสรณ์ถึงวันสันติภาพไทย และขบวนการเสรีไทยอยู่บ้าง เช่น สวนเสรีไทยที่บึงกุ่ม กรุงเทพฯ ถนนเสรีไทยในกรุงเทพฯ สวนสันติภาพใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และถนน 16 สิงหา ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ (จากประตูถนนพระอาทิตย์ถึงประตูถนนพระจันทร์) เป็นต้น
แต่การรำลึกถึงขบวนการเสรีไทย และวันสันติภาพไทย จะมีอะไรดีไปกว่า การเรียนรู้ถึงอุดมคติของคนเหล่านั้น เช่น “สันติประชาธรรม” คือ สันติภาพ ที่จะต้องมีความเสมอภาคและความยุติธรรมในสังคมเป็นหัวใจพื้นฐาน แล้วนำอุดมคติของเขาเหล่านั้นมาปรับใช้ให้เกิดความหมายในชีวิตและสังคมของเรา
อุดมคติสำคัญประการหนึ่งของขบวนการเสรีไทยที่ปรารถนาสันติภาพนั้น ยังได้ปรากฏอย่างชัดเจนอยู่ในหนังสือนวนิยายและภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” ผลงานการประพันธ์และอำนวยการสร้างโดยนายปรีดี พนมยงค์
โดยภาพยนตร์ที่ให้เสียงภาษาอังกฤษเรื่องนี้ออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2484 ทั้งในไทยและต่างประเทศ ก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเทศไทย
เรื่องย่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ พระเจ้าหงสา ผู้มีความทะเยอทะยานและประสงค์จะทำลายอโยธยา ได้อ้างเรื่องขอช้างเผือกจากพระเจ้าจักราเป็นเหตุ และเมื่อทรงปฏิเสธ จึงรุกรานเข้ามาทางเมือง “กานบุรี” พระเจ้าจักราก็ออกรบต่อตีกับอริราชศัตรู โดยไม่ประสงค์ให้อาณาราษฎรต้องล้มตาย จึงกระทำยุทธหัตถีกับพระเจ้าจักราจนได้รับชัยชนะ
ภาพยนตร์เรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” (ภาพจาก หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน))
ดังที่พระเจ้าจักราในเรื่องนี้ ได้แสดงให้เห็นโดยตลอดว่าไม่ประสงค์ให้ไพร่ฟ้าต้องเดือดร้อนจากภัยของสงคราม เมื่อถึงจุดที่สามารถจะยุติการเข่นฆ่ากันได้ พระองค์ก็ใช้วิธีเป็นฝ่ายทรงช้างไปหาพระเจ้าหงสา เพื่อขอทำยุทธหัตถี เป็นการสู้กันตัวต่อตัวเพื่อยุติปัญหา เพราะศัตรูของพระเจ้าจักรา คือ พระเจ้าหงสา พระองค์เดียวเท่านั้น มิได้ราษฎรชาวหงสา
แต่ความแตกต่างของเรื่อง “พระเจ้าช้างเผือก” กับภาพยนตร์สงครามในเวลาต่อมานั้นมีหลายประการ เช่น ปกติสงคราม “ไทยรบพม่า” มักจะพูดถึงความขัดแย้งระหว่าง 2 ฝ่ายเพียงอย่างเดียว แต่ในเรื่องนายปรีดีได้พูดเรื่องสงครามโลกในเวลานั้น ผ่านการแต่งเรื่องทางประวัติศาสตร์
ที่สำคัญคือ การที่เน้นในเรื่องว่า เมื่อพระเจ้าหงสา มีพระเจ้าโมกุลแห่งอินเดียหนุนหลังแล้ว ก็จะสามารถแผ่ขยายอำนาจเข้ามายังอโยธยาได้ ในความหมายว่าเป็นบริบทของการเมืองในระดับภูมิภาค-โลก ที่เพิ่มมิติมากกว่าเพียงหงสากับอโยธยา
ที่น่ายินดีเป็นพิเศษ คือ เมื่อไม่นานมานี้ ในวันที่ 17 เมษายน 2568 องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนให้ฟิล์มภาพยนตร์เรื่อง พระเจ้าช้างเผือก ทุกเวอร์ชันที่หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) อนุรักษ์ไว้
และเอกสารจดหมายเหตุที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอยู่ในความดูแลของหอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หน่วยงานในสังกัดสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็น “มรดกความทรงจำแห่งโลก”
สำหรับเอกสารจดหมายเหตุนั้นมีเอกสารที่สะท้อนความคิดของนายปรีดีอย่างสำคัญ เช่น ในปี 2499 ท่านได้กล่าวกับบุคคลสำคัญในรัฐบาลจีนว่า “แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้ทำไว้หลายปีมาแล้วก็ตาม แต่สาระสำคัญของเรื่องเปนการส่งเสริมสันติภาพ ซึ่งเปนอุดมการณ์ที่ไม่มีวันเสื่อมสูญ”
แม้วันเวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน ก็ยังเห็นได้ว่า อุดมคติหรืออุดมการณ์ที่ส่งเสริมสันติภาพนั้น ไม่เป็นเรื่องล้าสมัยเลย
ในวาระ 80 ปี วันสันติภาพไทยในปีนี้ นอกจากจะมีการจัดงานรำลึกผ่านกิจกรรมเสวนาวิชาการ และการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม ทั้งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครแล้ว ยังมีการจัดพิมพ์หนังสือที่ระลึกออกมาให้อนุชนศึกษาถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์แห่งสงครามและสันติภาพด้วย
เช่น โมฆสงคราม โดยนายปรีดี พนมยงค์ ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ จัดพิมพ์เผยแพร่ และ 80 ปี วันสันติภาพไทย : “พระเจ้าช้างเผือก” มรดกความทรงจำแห่งโลก ซึ่งนายกษิดิศ อนันทนาธร เป็นบรรณาธิการ ที่จัดพิมพ์โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น







