'เดชอิศม์' ท้ารบ 'สนธิ' แจงปมกล่าวหาภายใน 15 ส.ค. ไม่แจงเจอที่ศาล

“เดชอิศม์” ท้ารบขีดเส้น “สนธิ” ต้องแจงทุกปมกล่าวหา ภายใน 15 ส.ค. ลั่นหากไม่แจงเจอกันที่ศาล ออกคลิปเคลียร์ คดีน้ำเถื่อน – ปลอมลายเซ็นประชุมกมธ.ฟอกเงิน - สนิทโทนี เตียว
จากกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองสกุล ผู้ดำเนินรายการ Sondhitalk วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของนายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย ในหลายประเด็น ล่าสุดนายเดชอิศม์ ออกคลิปชี้แจงว่า นายสนธิโจมตีว่าหากตนอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ จะทำให้หายนะจะมาถึงพรรคประชาธิปัตย์อย่างแน่นอน ตนขออธิบายว่าเส้นทางเข้าสู่พรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากนายประพร เอกอุรุ อดีตสส.สงขลา เขต 5 ได้เสียชีวิต ตนได้ลงสมัครตามกระบวนการ โดยมีการแข่งขันกันพรรคประชาธิปัตย์ 4 คน ขณะนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จัดทำให้โพล หากใครมีคะแนนดีที่สุดจะส่งลงสมัคร ผลโพลออกมาว่าตนได้เกินร้อยละ 80 ทำให้นายอภิสิทธิ์ประกาศว่าตนเป็นผู้สมัครเลือกตั้ง สส.สงขลา เขต 5
โดยหลังจากนั้นมีการเลือกตั้งปี 2562 ตนขอเรียนว่าไม่เคยรับเงินพรรคแม้แต่บาทเดียว ในการใช้หาเสียง ตนเป็น สส. 3 ปี เมื่อใกล้เข้าปีที่ 4 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ได้ลาออกจากการเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ ตนก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าแข่งขัน ซึ่งได้รับชัยชนะขาดลอย เมื่อปี 2566 มีการเลือกตั้งทั่วไป ตนเป็นแม่ทัพภาคใต้ ซึ่งได้ สส. 17 ที่นั่ง เมื่อมีการเลือกกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ ตนก็ได้รับการเสนอให้เป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตนได้คะแนนเกินร้อยละ 88 ให้มาทำหน้าที่ดังกล่าว
“มาวันนี้คุณสนธิบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องสูญพันธ์ มีหายนะ ผมไม่ขอพูดว่านายสนธิพูดถูกหรือไม่ผิด เพราะไม่มีใครรู้อนาคต อีก 2 ปีจะมีการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์จะสูญพันธุ์ก็ได้ อาจจะได้ สส. เกิน 50 ที่นั่งก็ได้ อย่ามานั่งทายกันเลยว่าใครผิดใครถูก คอยดูก็แล้วกัน ผมยืนยันว่าจะอยู่พรรคประชาธิปัตย์ต่อ ไม่ย้ายพรรคอย่างที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ผมได้รับการติดต่อจาก สส. พรรคอื่นว่ารอบหน้าจะขอมาลงพรรคประชาธิปัตย์ และยังมีคนรุ่นใหม่จำนวนมาก มาคุยกับผม เพื่อขอลง สส.”
นายเดชอิศม์ กล่าวต่อว่า นายสนธิยังโจมตีตนกรณี ป.ป.ช. จะชี้มูลปมน้ำมันเถื่อน ตนขอชี้แจงว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ตนยังไม่รู้เลยว่าเป็นผู้ต้องหา ทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้ต้องหา ตนจึงสืบข้อเท็จจริงจาก ป.ป.ช. และ ดีเอสไอ โดยดีเอสไอบอกว่าเมื่อ 15 ปีที่แล้ว มีเจ้าหน้าที่รัฐไปเรียกรับผลประโยชน์จากคดีน้ำมันเถื่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐคนดังกล่าวโดนศาลพิพากษาไปแล้ว โดยบังเอิญว่าชื่อตนอยู่ในกลุ่มไลน์ของผู้ต้องหาคนดังกล่าว ซึ่งมีทั้งหมด 28 คน ทราบมาว่ามีทั้งผู้พิพากษา อัยการ ข้าราชการ
โดยทางดีเอสไอบอกอีกว่า เมื่อปิดคดีแล้วได้ส่งรายชื่อให้กับ ป.ป.ช. เผื่อจะตรวจสอบผู้มีรายชื่อ ตนทำหนังสือไปที่ ป.ป.ช. 2 ครั้ง เพื่อให้รีบติดต่อตนเพื่อให้ไปให้การ เพื่อให้คดีจบเร็ว จน ป.ป.ช. ถามว่ามีแต่คนอยากดึงเวลาให้หมดอายุความ มีตนที่เร่งให้รีบสอบสวน ตนให้สภาฯทำหนังสือทวง และให้ครม.ทำหนังสือเตือน ว่าไม่ควรค้างคดีตนเอาไว้ ต้องรีบสอบสวนและสรุปสำนวนด่วน ถ้าผิดก็พิพากษาได้เลย ถ้าไม่ผิดก็เอาชื่อตนออก ซึ่งตนไม่เกี่ยวข้องด้วยเลย
“ช่วยแจ้ง ป.ป.ช. ให้รีบคดีของผมให้เร็วที่สุด ผมไม่อยากเป็นจำเลยของสังคม ผมเป็นคนสงขลา ผมต้องรักษาเกียรติศักดิ์ศรีของคนสงขลา ผมเป็น สส. ผมไม่อยากให้พี่น้องชาวไทยเสียหาย ผมไม่อยากให้รัฐบาลเสียหาย ฉะนั้น ป.ป.ช.ต้องเร่งให้ผมด้วย”
นายเดชอิศม์ กล่าวต่อว่า กรณีที่ตนปลอมลายเซ็น ตนเป็นกรรมธิการฟอกเงิน มีวันหนึ่งเขาสงสัยว่าตนไม่เข้าประชุม แต่ผมมีลายเซ็น จึงสงสัยว่าน่าจะมีลายเซ็นปลอม มีการร้องเรียนไปที่ ป.ป.ช. ซึ่ง ป.ป.ช. ทำหนังสือถึงตน โดยในฐานะที่ตนเป็นพยานว่ามีเจ้าหน้าที่ ประธานกมธ. ปปง. และอีกหนึ่งคน ทั้ง 3 คน โดนสงสัยว่ามีขบวนการเซ็นชื่อแล้วเบิกเงินเอาไปแบ่งกัน เป็นเงิน 1,500 บาท เมื่อตนรับหนังสือก็กลัวว่าจะเป็นจริง ก็ไปตรวจสอบ ซึ่งวันดังกล่าวตนไปประชุมเอง แต่ประชุม 2 ห้อง 1.ประชุมห้อง กมธ. ฟอกเงิน 2.ประชุมห้องใหญ่ของสภาฯ
โดยหลังจากนั้นตนไปดูรายงานการประชุม เจ้าหน้าที่รับรองว่าตนเข้าประชุม ที่สำคัญ กมธ. รับรองรายงานการประชุมว่ามีใครเข้าประชุมบ้าง ตนชี้แจงต่อ ป.ป.ช. เรียบร้อย เรื่องแบบนี้ไม่ควรเอามาโจมตีตน
นายเดชอิศม์ กล่าวต่อว่า อีกกรณีมีการกล่าวหาตนเรื่องเดินทางไปต่างประเทศ โดยในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง รมช.สาธารณสุข ตนได้ไปประชุมที่กรุงเจนีวา เรื่องของ WHO ซึ่งตนได้กำชับข้าราชการทุกคนว่าแม้แต่บาทเดียวอย่าออกให้นางสุภาพร กำเนิดผล สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เพราะที่นางสุภาพรเดินทางไปด้วย เพื่อเยี่ยมลูกชาย ซึ่งเรียนอยู่ประเทศอังกฤษ โดยลูกชายบินจากอังกฤษมาที่กรุงเจนีวา
“ผมกำชับว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดของนางสุภาพร ห้ามแตะของหลวงแม้แต่บาทเดียว มีหลักฐานชัดเจน ไปค้นที่กระทรวงสาธารณสุขได้เลย แต่กลับมีการพูดกำกวมให้ครอบครัวผมเสียหาย”
นายเดชอิศม์ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีของนายโทนี่ เตียว หรือเสี่ยวจาง นักธุรกิจชาวมาเลเซีย นั้น ตนขออธิบายว่ามีนักธุรกิจจำนวนมากมาลงทุนบริเวณด่านนอก ชายแดนไทย มาเลเซีย ซึ่งเสี่ยวจางเป็นนักธุรกิจคนนึง มาลงทุนหลักพ้นล้าน สร้างโรงแรม สร้างร้านอาหาร มีคนไทยในอ.สะเดา มาทำงานอย่างน้อยร้อยละ 90 มีแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นายอำเภอสะเดา ไปดูแล โดยมีช่วงหนึ่งมีการใส่ร้ายว่าเสี่ยวจางน่าจะค้ายา มีการยึดทรัพย์เขา แต่สุดท้ายเขาไม่มีคดี ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จึงคืนเงินที่อายัดให้เขาหมด
“คุณสนธิพยายามพูดว่าเขาค้ายาเสพติด ผมถามว่าที่มาจากต่างประเทศมาทำผิดในประเทศไทย เขาจะออกจากประเทศไทยได้หรือไม่ มันไม่ได้ครับ ต้องรับผิดให้จบก่อน ถึงจะออกจากประเทศไทยได้ แต่วันนี้เสี่ยวจางไม่มีความผิดใดๆเลย ผลกระทบจากการที่เรากระทำกับเขา วันนี้นักธุรกิจแถวชายแดนหนีกลับหมด ไม่มีใครกล้ามาลงทุนอีกเลย เศรษฐกิจชายแดนอ.สะเดา จะเป็นเมืองร้างอยู่แล้ว คุณมาเผาบ้านนี้เมืองนี้ยังไม่พอ ยังมาลากผมไปซ้ำเติม ผมยืนยันว่าเขาไม่เกี่ยวข้อง ไปดูที่ สตช. ดีเอสไอ ปปง. ว่าเขามีความผิดสักหนึ่งข้อหาหรือไม่ ไม่มีครับ ให้ความยุติธรรมกับผมด้วย อย่าพูดกำกวมแล้วผมดูไม่ดี”
นายเดชอิศม์ กล่าวต่อว่า อีกประเด็นมีการกล่าวหาว่า ญาติของตนโดนจับกุมกรณีมียาไอซ์เอาไว้ในครอบครอง ตนชี้แจงว่าตนรักเกียจคนค้ายาเสพติดอย่างยิ่ง ตนประกาศว่าพ่อค้ายาเสพติดห้ามเหยียบมาบ้านตน ซึ่งคนสงขลาทราบดี ตนมีมูลนิธิช่วยเหลือเยาวชนจากยาเสพติด ช่วยเหลือส่งให้เรียนต่อ ตนให้ทีมงานช่วยเหลือเยาวชนเหล่านี้ทุกที่ ตนรังเกียจพ่อค้ายาเสพติด เพราะมันทำลายสังคม ทำลายประเทศ แต่คุณมาพูดลอยว่าญาติตนไปค้ายาเสพติด พูดแบบนี้เหมือนประหารชีวิตคนบริสุทธิ์ คุณก็บาปกรรมเท่ากับคนที่ค้ายาเสพติด พวกค้ายาเสพติดมันเลวระยำอยู่แล้ว แต่คนมาพูดให้คนที่ไม่ค้ายา ให้คนเข้าใจว่าค้ายา ตนว่าคนพูดทั้งเลว ทั้งระยำ ควรได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง
“คุณมาพูดอีกว่าคนสงขลา ทำไมต้องเลือกผม ไม่ควรเลือกผม ทำให้เสียเกียรติยศ เสียศักดิ์ศรีของความเป็นคนสงขลา คุณมารู้จักคนสงขลาดีพอหรือยัง คุณไม่รู้จักผม คุณได้ข้อมูลจากใครก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆผมเสียหายยับเยิน”
นายเดชอิศม์ กล่าวต่อว่า ก่อนวันที่ 15 ส.ค. หากไม่มีการพูดหรืออธิบายกรณีของตนจากคุณสนธิ หลังวันที่ 15 ส.ค. คุณสนธิจะต้องเดินทางมาพบกับตนที่ศาลอย่างแน่นอน แล้วอยากบอกว่าที่คุณเคยเจอมาแล้ว คุณทำร้ายคนโน้นคนนี้มาแล้ว หลายคนกลัวคุณ ฟ้องแล้วก็ถอนแจ้งความออก แต่สำหรับตน ตนบอกตรงๆว่าผมจริงที่สุดแล้ว แล้วตนไม่มีวันยอมอีกแล้ว เพราะคุณรังแกตน ทำลายตน และตนเชื่อว่าคุณจะทำลายคนอื่นอีก เพราะไม่ค่อยมีใครมาสู้กับคุณ
“ผมอยากฝากครับ อายุมากแล้ว ทำร้ายคนโน้นคนนี้เพื่อให้ตัวเองดูดี ผมไม่อยากพูดว่าคนที่ทำอย่างนี้คือคนชั่ว ผมไม่อยากพูด ผมไม่เชื่อด้วยว่าคุณรับจ้างเขามา ผมไม่อยากเชื่อด้วยว่าต้องจ้างคุณ คุณถึงจะหยุด ผมไม่เชื่อ คุณสนธิอายุมากแล้ว ใกล้จะ 80 ผมอยากให้พูดเรื่อง คุณพูดเสมอว่าความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ก่อนที่คุณจะตาย อยากฝากความดีให้บ้านเมือง คุณช่วยพูดความจริง ผมว่าความจริงทำให้คุณได้บุญ ชีวิตคุณจะดีขึ้นแน่นอน แต่ถ้าคุณทำร้ายคนอื่น คุณลองนึกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา คุณไปทำร้ายเขา เขาจะรู้สึกอย่างไร”





