GBC ผ่านไป... จริงหรือ ไทยได้เปรียบ ?

GBC ผ่านไป...  จริงหรือ ไทยได้เปรียบ ?

ข้อมูลล่าสุดที่ “ปราสาทตาควาย” ที่เคยบอกว่า ไทยได้เปรียบ ทั้งข้อตกลง "จีบีซี" 13 ข้อ และยังได้เปรียบที่ยึดจุดยุทธศาสตร์สำคัญไว้ได้ถึง 11 จุดนั้น แท้ที่จริงแล้ว เราได้เปรียบแน่หรือไม่

KEY

POINTS

  • ข้อมูลที่เคยบอกว่าไทยได้เปรียบทั้งข้อตกลงจีบีซี 13 ข้อ และยังได้เปรียบที่ยึดจุดยุทธศาสตร์สำคัญไว้ได้ถึง 11 จุดนั้น แท้ที่จริงแล้ว เราได้เปรียบแน่หรือไม่
  • พื้นที่ปราสาทตาควาย ก่อนเสียงปืนดังจากการปะทะรอบล่าสุดนี้ไม่นาน ไทยยังเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมจากฝั่งไทยได้ เคยมีมวลชนคนไทยไปร้องเพลงชาติเชิงสัญลักษณ์ แต่วันนี้เราเข้าปราสาทไม่ได้แล้ว
  • ช่องอานม้า เดิมเคยเป็นของไทยโดยสมบูรณ์ ต่อมาฝ่ายกัมพูชามาสร้างตลาด สร้างอนุสาวรีย์ตาอม แต่ฝ่ายไทยก็เข้าพื้นที่ได้ ปัจจุบันทหารทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้า ทหารไทยเข้าไปตรงลานที่เคยเป็นอนุสาวรีย์ และตลาดไม่ได้ เพราะกัมพูชาอยู่ตรงจุดสูงข่ม เนิน 677

หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาของความโล่งใจที่ผลประชุม GBC ระหว่างไทย-กัมพูชา ออกมาค่อนข้าง “เข้าทางไทย”

ล่าสุดเริ่มมี “คำถามตัวใหญ่ๆ” ว่าไทยได้เปรียบจริงหรือ โดยเฉพาะเมื่อมีเสียงระเบิดดังที่ชายแดนฝั่งศรีสะเกษ ทำให้ทหารไทยเสียขาไปอีก 1 ข้าง

ย้อนกลับไปไล่ดู “ข้อตกลง 13 ข้อ” ซึ่งเป็นผลจากการประชุม GBC วันที่ 7 ส.ค. บางข้อดูจะมีปัญหาในทางปฏิบัติ ไม่มีความรัดกุม และไม่มีมาตรการรองรับ หากมีปัญหาเกิดขึ้น หรือไม่มีแม้แต่มาตรการที่จะป้องกันปัญหา

เช่น ในข้อตกลงข้อ 4 ที่บอกว่า “ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด เช่น การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ตามสถานะการหยุดยิง ตั้งแต่ 28 ก.ค.68.

คำถามคือ ในเมื่อทั้งสองฝ่ายมีประเด็นพิพาทเรื่องดินแดน ซึ่งรวมถึงเขตน่านฟ้า แล้วใครจะเป็นผู้ชี้ขาดว่า กิจกรรมทางทหารของฝ่ายหนึ่ง ล้ำเข้าไปในดินแดนของฝ่ายหนึ่ง เพราะฝ่ายที่ล้ำ ก็จะอ้างว่าบริเวณนั้นเป็นเขตอธิปไตยของตน

การอ้างสถานะการหยุดยิง วันที่ 28 ก.ค. ยิ่งน่าคิดว่า ใครคือฝ่ายได้เปรียบกันแน่ 

อย่างภาพล่าสุดที่ปราสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งมีทหารเขมรอยู่ในปราสาท ทั้งที่ปราสาทหลังนี้อยู่ในเขตไทย ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานก่อนที่กัมพูชาจะประกาศเอกราชเป็นประเทศเสียด้วยซ้ำ แบบนี้ถือว่าเขมรผิดข้อตกลงอยู่ก่อนแล้วหรือไม่ หรือถ้าตีความอีกแบบ ทหารไทยก็ไปไล่ทหารเขมรออกจากตัวปราสาทไม่ได้ใช่หรือเปล่า เพราะยึดสถานะการหยุดยิง วันที่ 28 ก.ค.

ปัญหาความไม่ชัดเจนเหล่านี้ สามารถนำมาเป็นชนวนขัดแย้ง ล้มข้อตกลงได้ทุกเมื่อ

ข้อมูลล่าสุดที่ “ปราสาทตาควาย” ถือว่าน่าตกใจ และเป็นคำถามย้อนกลับไปที่กองทัพ รวมถึง “บิ๊กเล็ก” รักษาการ รมว.กลาโหม ว่า ข้อมูลที่เคยบอกว่าไทยได้เปรียบทั้งข้อตกลงจีบีซี 13 ข้อ และยังได้เปรียบที่ยึดจุดยุทธศาสตร์สำคัญไว้ได้ถึง 11 จุดนั้น แท้ที่จริงแล้ว เราได้เปรียบแน่หรือไม่

หรือเรามีแต่“เท่าทุน”กับ“เสียเปรียบ” เพราะ...

1.พื้นที่ปราสาทตาควาย ก่อนเสียงปืนดังจากการปะทะรอบล่าสุดนี้ไม่นาน ไทยยังเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมจากฝั่งไทยได้ เคยมีมวลชนคนไทยไปร้องเพลงชาติเชิงสัญลักษณ์ แต่วันนี้เราเข้าปราสาทไม่ได้แล้ว

การที่บอกว่า เรายึดพื้นที่ที่เป็น “ยุทธบริเวณ” ได้มากกว่า เป็นความได้เปรียบตรงไหน อย่างไร

ภาพที่ทหารเขมรไปยึด ถ้ามีการนำไปใช้ในศาลโลก หรือ “เวทีอื่นๆ ที่เป็นคนกลาง” จะทำให้ไทยเสียเปรียบหรือไม่

2.เนิน 350 ก็เป็นของไทย แต่วันนี้พบหมู่บ้านทหารเขมร และถัดจากเนิน ด้านหลัง ซึ่งเป็นเขตกัมพูชา ก็มีการเติมกำลังเข้ามาอย่างหนาแน่น

3.ช่องอานม้า เดิมเคยเป็นของไทยโดยสมบูรณ์ ต่อมาฝ่ายกัมพูชามาสร้างตลาด สร้างอนุสาวรีย์ตาอม แต่ฝ่ายไทยก็เข้าพื้นที่ได้

ปัจจุบัน ทหารทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้า ทหารไทยเข้าไปตรงลานที่เคยเป็นอนุสาวรีย์และตลาดไม่ได้ เพราะกัมพูชาอยู่ตรงจุดสูงข่ม (เนิน 677)

ฝ่ายกัมพูชาเคยพาทูตทหารต่างชาติเข้ามาสังเกตการณ์ เพราะมั่นใจในความปลอดภัย เนื่องจากฝ่ายตัวเองไม่ยิงแน่นอน กลายเป็นว่าเขมรได้ภาพเป็นเจ้าของพื้นที่ไปแล้วใช่หรือไม่

4.ภูมะเขือ ที่บอกว่าได้ยึดได้ จริงๆ เคยเป็นของไทย แต่ถูกเขมรยึด วันนี้เราตีคืนกลับมาได้ ถือว่าได้เปรียบ หรือเท่าทุน

5.เช่นเดียวกับพื้นที่ “เขาพระวิหาร”บางส่วน (ไม่ใช่ตัวปราสาท) ลักษณะเดียวกับภูมะเขือ ไทยถือว่าได้เปรียบหรือเท่าทุน

ปัญหาของไทยในขณะนี้ คือ นอกจากจะยึดพื้นที่ได้ไม่เบ็ดเสร็จ ยังไม่ค่อยจะมีความพร้อมในการรับมือกับ “โดรน” ของกัมพูชา

อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง ตั้งข้อสังเกตว่า ประชุม ครม.วันอังคารที่ผ่านมา รัฐบาลไทยอนุมัติการจัดหายุทโธปกรณ์ 3 โครงการใหญ่พร้อมกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ เรื่องนี้เกิดขึ้นได้เพราะ “กระแสสงคราม” จากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เป็นฐานรองรับนั่นเอง

การดำเนินการครั้งนี้ ไม่มีทางที่ฝ่ายเห็นต่างจะคัดค้านได้ เพราะ “กระแสชาตินิยม-เสนานิยม” ดำรงอยู่อย่างท่วมท้นในสังคมไทย การคัดค้านอาจกลายเป็น “ความไม่รักชาติ” ได้ไม่ยากเย็น

อาจารย์ตั้งข้อสังเกตว่า สถานการณ์สงครามชายแดน กลายเป็น“โอกาสทอง”ของการจัดซื้ออาวุธในครั้งนี้ไปโดยปริยาย โดยอาวุธทั้ง 3 โครงการคือ เครื่องบินรบกริพเพน เรือรบ และเรือดำน้ำ ซึ่งเป็นอาวุธหนักทั้งหมด

ด้านหนึ่งถือว่าสอดรับกับ “กระแสสงครามนิยม” ที่เชื่อมั่นในพลังอำนาจของอาวุธหนัก อันเป็นผลจากภาพข่าวการใช้กำลังของฝ่ายไทยที่ได้เปรียบกัมพูชา

แต่คิดในอีกมุมหนึ่งของภัยคุกคามทางทหาร กัมพูชาเป็นประเทศที่ไม่มีกำลังรบทางอากาศ คือ ไม่มีเครื่องบินขับไล่ มีเพียงเครื่องบินฝึกและขนส่งเท่านั้น 

กองทัพเรือกัมพูชามีเพียงเรือตรวจการณ์ชายฝั่งไม่กี่ลำ จึงไม่มีสถานะเป็นภัยคุกคามทางทะเลของไทยได้เลย กองทัพบกกัมพูชาแม้จะมีรถถังราวๆ 200 คัน แต่เป็นรถถังรุ่นเก่าของโซเวียต ส่วนกองทัพบกไทยมีรถถังหลักราว 394 คัน และเป็นรถถังรุ่นใหม่กว่ามาก

แต่ในสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ ฝ่ายกัมพูชามีการนำโดรนเข้ามาเป็นอุปกรณ์สงคราม แม้ไม่ได้ใช้ในการเป็นโดรนโจมตี แต่ใช้ในลักษณะของ “โดรนลาดตระเวน” และถ่ายภาพ

ฉะนั้นปัญหาภัยคุกคามจากระบบอาวุธของกัมพูชา จึงน่าจะเป็นการโจมตีด้วยจรวดหลายลำกล้อง BM21 และยุทโธปกรณ์ประเภทเดียวกัน ซึ่งมีถึง 74 ระบบ โดยการโจมตีเป้าหมายจะแม่นยำขึ้นเมื่อใช้ข้อมูลจากโดรนลาดตระเวนถ่ายภาพ

ดังนั้น ไทยควรต้องเตรียมรับสถานการณ์ด้วยการลงทุนจัดหาอุปกรณ์ในการต่อต้านโดรน แต่กลับไม่มีการใช้งบประมาณไปเพื่อการนี้เลย

อาจารย์สุรชาติ สรุปว่า น่าเสียดายที่ยังไม่เห็นถึงทิศทางของการเตรียมรับสงครามยุคใหม่ เช่น ในกรณีของ “สงครามโดรน” เพราะต้องยอมรับกันแล้วว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งนี้ เป็น “สงครามใหญ่ครั้งแรกในศตวรรษที่ 21” ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แม้สงครามชายแดนจะมีธรรมชาติเป็น “สงครามจำกัด” ในตัวเอง แต่การสู้รบโดยใช้โดรน ก็สะท้อนให้เห็นถึง “ความใหม่” สำหรับมิติของสงครามในภูมิภาคได้อย่างชัดเจน

แต่ดูเหมือนไทยจะยังไม่เฉลียวใจ และเร่งรับมือ!