‘เนวิน’ดิ้นสู้ฟัดงัด‘สิงห์แดง’ ดึงเกม‘เขากระโดง’ขยี้‘อัลไพน์’

เมื่อ“นายใหญ่”หวังฝากบาดแผลเอาคืน “ครูใหญ่” กระทบชิ่งไปถึงพรรคภูมิใจไทย ที่ก่อนหน้านี้คุมกระทรวงมหาดไทย และมีการเซ็นเพิกถอนที่ดินอัลไพน์
KEY
POINTS
- เนวิน ชิดชอบ กำลังต่อสู้ทางการเมืองและกฎหมายเพื่อคัดค้านคำสั่งเพิกถอนที่ดินเขากระโดง เปิดศึกวัดพลังกับกระทรวงมหาดไทยที่กำกับดูแลโดยเพื่อไทย
- ฝ่ายของเนวินได้หยิบยกกรณีพิพาทที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับตระกูลชินวัตร ย้อนเกล็ดกลับไปยังนายใหญ่เพื่อไทย
- การใช้ประเด็นที่ดินเขากระโดงเพื่อสร้างแรงกดดันและตอบโต้ทางการเมืองในประเด็นที่ดินอัลไพน์ เป็นการต่อสู้ระหว่างสองขั้วอำนาจการเมือง
มหากาพย์ “ที่ดินเขากระโดง” 5,083 ไร่ ในพื้นที่ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ บทสรุปที่ยังไม่มีทีท่าที่จะรวบรัดตัดจบได้โดยง่าย
อย่างที่รู้กันเมื่ออำนาจเปลี่ยนมือจาก “พรรคภูมิใจไทย” มาอยู่ที่ “พรรคเพื่อไทย” ปฏิบัติการล้างบางสีน้ำเงินจึงถูกเปิดเกมเร็ว เคลื่อนเกมแรงเล็งเป้าไปที่ “กล่องดวงใจ” ค่ายสีน้ำเงิน
โดยเฉพาะที่ดิน12 แปลง รวมเนื้อที่ 288 ไร่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงโม่หินศิลาชัย สนามฟุตบอลช้างอารีนา สนามแข่งรถ หรือ Amari Buriram United ธุรกิจโรงแรมที่ใครๆต่างก็รู้กันโดยทั่วว่าเป็นอาณาจักร“ตระกูลชิดชอบ”
แน่นอนว่า หลังจากที่ “มท.อ้วน”ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย และ “มท.ชาย” เดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย แถลงบทสรุปถึงการดำเนินการเพิกถอนที่ดินเขากระโดง จำนวน 5,083 ไร่
โดยหยิบยกคำวินิจฉัยศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ที่พิพากษาเด็ดขาดว่า ที่ดินเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)พร้อม “ล้มคำสั่ง” คณะกรรมการตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินที่ตั้งขึ้นในยุค “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นรมว.มหาดไทย และสั่งให้กรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนทันที มีผลนับตั้งแต่วันที่2 ส.ค. เป็นต้นไป
จึงไม่แปลกหากจะได้เห็นจังหวะการเดินเกมของฝั่ง “ครูใหญ่” ส่งผ่าน “พลพรรคสีน้ำเงิน” แบ่งบท-แบ่งพาร์ทกันเล่น
พาร์ทแรก ในส่วนของคดี เห็นได้ชัดถึงเกมรุกกลับของ “ครูใหญ่” ส่งทนายความ พร้อมชาวบ้านที่กล่าวอ้างว่ามีเอกสารสิทธิในพื้นที่ดังกล่าว และอ้างว่าได้มาอย่างถูกต้อง ตั้งโต๊ะแถลงเมื่อวันที่7ส.ค.ที่ผ่านมา คัดค้านคำสั่งกระทรวงมหาดไทย
จับใจความสำคัญที่ทาง “ทนายความ” ตระกูลชิดชอบ พยามยามโต้แย้งพอจะสรุปได้อย่างน้อย4ประเด็น
ประเด็นแรก คำพิพากษาของศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ภาค บางคดีที่รฟท. นำมาอ้าง
“ทนาย” โต้แย้งว่า ตามมาตรา145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มี 3 หลัก หลักที่หนึ่ง คำพิพากษาศาลฎีกาต้องถึงที่สุด
หลักที่สอง มีผลบังคับเฉพาะคู่ความในคดี ไม่ได้หมายรวมไปถึงราษฎรผู้ถือเอกสารสิทธิตามกฎหมายในที่ดินแปลงอื่น ไม่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวและได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 และประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา2และมาตรา3 อีกทั้งยังได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา37
หลักที่สาม อาจใช้ยันบุคคลภายนอก ซึ่งคำว่า“อาจใช้ยัน”ไม่ใช่การบังคับแต่ต้องไป “ฟ้องเป็นคดีใหม่”
ประเด็นนี้สอดคล้องกับความเคลื่อนไหว รวมถึงการวางเกมจากฝั่ง“ครูใหญ่” ที่ส่ง “ทีมทนายชิดชอบ” รวบรวมชาวบ้านในพื้นที่ที่ครอบครองทุกแปลง เพื่อคัดค้านการเพิกถอน พร้อมบีบให้รฟท.ไปไล่เบี้ย“ฟ้องรายแปลง” ซึ่งหมายความว่า กระบวนการอาจต้องยืดเยื้อต่อไปแบบไม่มีกำหนด
ประเด็นที่สอง ปัจจุบันไม่ปรากฏว่า มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขต และจัดซื้อที่ดิน พร้อมแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษา รับรองให้รฟท. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ. 2464 หรือกฎหมายอื่นใด ดังนั้นที่ดินพิพาทจึงไม่ตกเป็น “ที่ดินรถไฟ”
ประเด็นที่สาม แผนที่สำรวจ (Exploitation Plan) จัดทำขึ้นเพื่อรองรับการขนย้ายหินบริเวณเขากระโดงชั่วคราว โดยอาศัยพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ.2464 มาตรา 45 จึงไม่ใช่ทางรถไฟเพื่อใช้ในการเดินรถตามมาตรา 3 (3) ของพระราชบัญญัติเดียวกัน และไม่ใช่แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาตามกฎหมาย
ประเด็นที่สี่ กรณีที่ศาลปกครองกลาง “ไม่รับคำร้อง” เพิกถอนบางคำร้อง เพราะเคยพิพากษาไปแล้วเป็นอำนาจของอธิบดีกรมที่ดิน
สิ่งที่ “ทีมทนายชิดชอบ” พยายามจะสื่อสาร จึงไม่ต่างอะไรกับเกมขู่เล็งเป้าไปที่“ภูมิธรรม” รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากยังคงดำเนินการเพิกถอนโฉนดโดยยึดถือแผนที่หรือข้อมูลเท็จของ รฟท. เพื่อสนองนโยบายทางการเมือง อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง
สเตปต่อไปคือการย้อนเกล็ดเอาคืนด้วยการร้อง “เพิกถอนคำสั่ง” และเรียกค่าเสียหาย รวมทั้งดำเนินคดีอาญาฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เบิกความเท็จ ปลอมแปลงเอกสารราชการอีกด้วย
ขณะที่ พาร์ทสอง คือ พาร์ทการเมือง เห็นชัดถึงการเปิดประเด็นปิงปองตอบโต้กันเป็นรายวันระหว่าง2ฝั่ง
ฝั่งสีน้ำเงิน ส่งบทผ่านลูกพรรค อาทิ “ศุภชัย ใจสมุทร” ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทย ที่กระทุ้งไปที่ประเด็น "ขุมทรัพย์2ตระกูล" ภายใต้มาตรฐานในการจัดการระหว่าง “ที่ดินเขากระโดง” ของตระกูลชิดชอบ กับ “สนามกอล์ฟอัลไพน์” อาณาจักรของตระกูลชินวัตร
อย่างที่รู้กันว่า ปฏิบัติการล้างบางเครือข่ายสีน้ำเงิน จนนำมาสู่การยึดคืนพื้นที่เขากระโดงซึ่งถือเป็นกล่องดวงใจตระกูลชิดชอบเกิดขึ้นภายใต้เกมการเมืองหลังการเปิดฉากแตกหักระหว่าง “2นาย” คือ “เนวิน ชิดชอบ” ครูใหญ่สีน้ำเงิน และ “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ค่ายแดง
อีกนัยหนึ่ง “นายใหญ่”หวังฝากบาดแผลเอาคืน “ครูใหญ่” กระทบชิ่งไปถึงพรรคภูมิใจไทย ที่ก่อนหน้านี้คุมกระทรวงมหาดไทย และมีการเซ็นเพิกถอนที่ดินอัลไพน์ โดยมี “ชำนาญวิทย์ เตรัตน์” รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้เซ็นลงนาม
ผลที่ตามมาคือ “บริษัทอัลไพน์ฯ” กลายเป็นหนึ่งใน “ตัวละครร่วม” ที่จะต้องจ่ายค่าเสียหายในคดีแพ่งคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 7,700 ล้านบาทให้กับประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินในปัจจุบัน และยังคงคาราคาซังอยู่ในเวลานี้
ไม่ใช่แค่คดีอัลไพน์ แต่เวลานี้ฝั่งสีน้ำเงิน ยังเล็งเป้าไปที่รัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยในประเด็นความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี นั่นคือคดีโรงแป้งมันซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัว “สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล” รมว.การอุดมศึกษาฯ บุกรุกที่สาธารณะ บริเวณต.ศรีวิเชียร อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี
เกี่ยวโยงไปถึง “กำนันป้อ” วีระศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล และ “ยลดา หวังศุภกิจโกศล” นายกอบจ.นครราชสีมา ผู้เป็นบิดาและมารดา “รัฐมนตรีสุดาวรรณ”
ปัจจุบันผ่านมา 6 ปียังค้างคาอยู่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) แต่ยังไม่สามารถส่งฟ้องได้ เนื่องจากมีเหตุเลื่อนรับทราบข้อกล่าวหาหลายครั้งจนใกล้หมดอายุความ
เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ฝั่งสีน้ำเงินตั้งคำถามไปถึงมาตรฐานในการจัดการคดีรุกที่ของ“บิ๊กเนมการเมือง”
ด้วยบทสรุปที่ยังไม่สรุปเหล่านี้ ไม่แปลกในวันที่อำนาจเปลี่ยนมือ ในขณะที่พรรคภูมิใจไทยถูกผลักออกไปอยู่ในขั้วฝ่ายค้าน ประเด็น“เขากระโดง VS อัลไพน์” จากเดิมที่ถูกมองว่า เป็นเกมต่อรองที่อาจสมประโยชน์ร่วมกันระหว่าง “2นาย” จะกลับกลายเป็นการเปิดฉากเอาคืนกันไปมา
โดยเฉพาะฝั่ง“เนวิน” และพรรคสีน้ำเงิน ที่กำลังเปิดเกม “ดิ้นสู้ฟัด” อยู่ในเวลานี้
คงเหมือนดังที่ รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผอ.หลักสูตรการเมือง และยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณทิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) วิเคราะห์ไว้ในรายการ“คมชัดลึก” ออกอากาศทางNationTv22 ถึงศึก “2นาย” ที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ว่า
“วิธีคิดของนักการเมือง ถ้าต้องร่วมมือกัน ก็จะหลับตาข้างหนึ่ง แต่เมื่อไรที่มีความขัดแย้งกัน เรื่องเล็กก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องที่ใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก”
กรณีเขากระโดงเป็นตัวอย่างชัดเจน ตอนอยู่ร่วมกันไม่มีการพูดถึง แต่เมื่อขัดแย้งกันก็เป็นประเด็นสามารถทำเป็นผลงานและคะแนนนิยมได้ด้วย!







