กมธ.ปกครอง อึ้ง! งบช่วยเหลือเหตุไทย-กัมพูชา‘อุบลฯ’ เบิกแค่ 5.5 หมื่น

กมธ.การปกครอง เรียกผู้ว่าฯ3จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา - ‘มหาดไทย’ แจงงบเยียวยาจังหวัดละ 100 ล้านบาท 'กรวีร์' ชี้ยังพบเบิกจ่ายล่าช้า-บางพื้นที่ยังไม่ได้รับ
ที่รัฐสภา นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการการปกครอง สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติงบเยียวยาผู้ประสบภัย ชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดละ 100 ล้านบาทเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เรื่องนี้มีเพื่อสมาชิกตั้งกระทู้ถามสดถามรัฐมนตรี ซึ่งก็ได้รับการยืนยันว่าสามารถเบิกจ่ายงบได้
ที่ประชุมกมธ.วันนี้จึงได้เชิญผู้ว่าราชการ3จังหวัดคือ ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบรวมถึงกระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย และกรมบัญชีกลาง เพื่อที่จะมาติดตามว่านโยบายของรัฐบาลที่จะนำมาช่วยเหลือเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณ เป็นอย่างไรหรือติดขัดตรงไหนหรือสามารถเบิกจ่ายได้จริงตามที่รัฐมนตรีได้มาตอบกระทู้ถามสดในสภาฯหรือไม่
ขณะเดียวกันได้เชิญเพื่อนสส.ในพื้นที่มารับฟังและสะท้อนปัญหาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบปัญหาต่อไป
เมื่อถามว่าแกนนำพรรคภูมิใจไทยรวมถึงโซเชียลมีเดียก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า งบประมาณที่ใช้ดูแลในขณะนี้เป็นเงินบริจาคเสียส่วนใหญ่ จะเกี่ยวเนื่องกันด้วยหรือไม่ นายกรวีร์ กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องนี้ก็เป็นประเด็นเดียวกัน ทางรัฐบาลยืนยันว่าสามารถเบิกจ่ายได้ แต่ในข้อเท็จจริงหลายพื้นที่มีแต่วงเงินไป แต่การเบิกจ่ายยังไม่มีมากเท่าที่ควร บางพื้นที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ วันนี้ สิ่งที่ดูแลประชาชนกลายเป็นเงินบริจาค และสิ่งของจากประชาชนด้วยกันเอง
วันนี้ กมธ.การปกครอง จึงอยากเชิญกระทรวงมหาดไทยที่เป็นโต้โผหลักมาชี้แจงว่าติดขัดอะไรหรือระเบียบตรงไหนในการเบิกจ่าย ทำไมถึงเบิกจ่ายได้ช้า และทำไมบางพื้นที่ถึงเบิกจ่ายไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาสำหรับวิกฤตครั้งต่อไป
ถามย้ำว่า ตัวเลขงบประมาณในการใช้จ่ายจังหวัดละ 100 ล้านบาท คิดว่าจะเพียงพอหรือไม่ ประธานกมธ.ปกครอง กล่าวว่า เท่าที่ฟังรัฐมนตรีมาตอบกระทู้สดบอกว่าจะให้ไปก่อนอำเภอละ 5แสนบาท จึงฝากคำถามไปถึงรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยว่า เคยไปดูในพื้นที่หรือไม่ 5แสนบาท คนมาอยู่คิดว่าวันเดียวก็หมดแล้ว
จึงอยากแนะแนวทางการช่วยเหลือประชาชนตามศูนย์อพยพต่าง ๆ ได้สะท้อนถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อจะได้ไม่ไปพึ่งพางบบริจาคหรือของบริจาคจากประชาชน ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของรัฐบาลที่จะต้องนำงบประมาณมาแก้ไขปัญหาและดูแลประชาชนในพื้นที่ให้ดีที่สุด
นายกรวีร์ ยังให้สัมภาษณ์หลังการประชุมอีกครั้งว่า จากการชี้แจงพบว่า ตัวเลขการเบิกจ่าย 3 จังหวัด มีการเบิกจ่ายเงินไปแล้วจริงจังหวัดศรีสะเกษ เบิกจ่ายแล้วจำนวน 46 ล้านบาท และใช้เงินขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 48 แห่งจำนวน 22 ล้านบาท , จังหวัดสุรินทร์ เบิกจ่ายแล้วจำนวน 55 ล้านบาท และใช้เงินขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) 173 แห่ง จำนวน 53 ล้านบาท
และจังหวัดอุบลราชธานี รองผู้ว่าราชการจังหวัดให้ข้อมูลว่าเบิกจ่ายไปแล้วจริง เพียง 55,000 บาท จึงกลายเป็นข้อสงสัยว่าที่ผ่านมาประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานีที่ได้รับผลกระทบอย่างมากอยู่กันได้อย่างไร ทั้งที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีก็ยืนยันกลางสภาว่าสามารถเบิกจ่ายได้ ซึ่งตนเห็นว่าไม่ได้เป็นการโกหก แต่ก็ไม่ได้บอกจำนวนว่าเบิกจ่ายไปเท่าไหร่
ประธานกมธ.การปกครอง กล่าวอีกว่า ส่วนเงินที่เหลือไปใช้เงินของ อปท. อีกจำนวน 6.6 ล้านบาท ซึ่ง กมธ. ได้ฝากรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี รวมถึงจังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ ว่าเงินงบประมาณตรงนี้ รัฐบาลมีความตั้งใจอนุมัติให้ เพื่อดูแลช่วยเหลือประชาชน ขอให้มีการเบิกจ่ายเงินให้ไปถึงมือประชาชน ในการดูแลผู้ได้รับผลกระทบด้วยความรวดเร็วและสามารถตรวจสอบได้
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้มีการติดตามกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวานนี้ เรื่องการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ไทย-กัมพูชา ยืนยันว่าเงินที่จะช่วยเหลือประชาชนที่เสียชีวิตไม่ว่าจะเป็นพลเรือน , เจ้าหน้าที่ของรัฐ จำนวน 10 ล้าน และ 8 ล้านบาท จะเป็นเงินคนละส่วนกับ 100 ล้านบาทที่ให้จังหวัดนำไปแก้ไขปัญหา จึงขอย้ำกับทุกจังหวัดและประชาชนให้เกิดความชัดเจน
เมื่อถามว่าเงินจังหวัดอุบลราชธานีที่เบิกจ่ายเพียง 55,000 บาท เกิดจากการติดขัดข้อกฎหมายอะไรหรือยังไม่อยากมีการเบิกจ่ายงบประมาณ นายกรวีร์ กล่าวว่า รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ชี้แจงว่าช่วงแรกได้มีการใช้จ่ายเงินของ อปท.ไปก่อน หากเกินกำลังของท้องถิ่นค่อยใช้เงินในส่วนนี้ ตนจึงสงสัยว่า เงินถูกอนุมัติไปตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค. จนถึงวันนี้ 6 ส.ค. เบิกจ่ายไปเพียงแค่นี้ เพียงพอหรือไม่ ซึ่งได้รับการชี้แจงว่าอยู่ระหว่างการตรวจสอบ การใช้จ่ายเงินจะต้องมีความรอบคอบ ระมัดระวัง ซึ่งแปลกจากที่รัฐมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานียืนยันว่าเบิกจ่ายได้ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของจังหวัดที่จะต้องเร่งเบิกจ่าย






