นับหนึ่งยึด ‘เขากระโดง’ คืนรัฐ ทางออก ‘ชิดชอบ’ ยอมเช่า-ถูกไล่ ?

กระบวนการยุติธรรมเริ่มรัน “นับหนึ่ง” เอาที่ดิน “สมบัติของชาติ” ถูกนำไปใช้หาผลประโยชน์มายาวนาน กลายเป็นข้อพิพาทนับร้อยปี กลับคืนสู่ภาครัฐอย่างที่ควรจะเป็นเสียที
KEY
POINTS
- กระทรวงมหาดไทย เริ่มกระบวนการยึดคืนที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ กว่า 5,000 ไร่ ให้กลับเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามคำพิพากษาศาลฎีกา
- กรมที่ดินมีอำนาจในการเพิกถอนโฉนดที่ดินในพื้นที่พิพาท ซึ่งรวมถึงที่ดินที่ตระกูลชิดชอบ และบริษัทในเครือใช้เป็นที่ตั้งของสนามฟุตบอล และธุรกิจอื่น ๆ
- รฟท. ได้เสนอทางเลือกให้ผู้ครอบครองที่ดิน รวมถึงตระกูลชิดชอบ สามารถเจรจาทำสัญญาเช่า หรือหากตกลงกันไม่ได้จะถูกดำเนินการฟ้องขับไล่ตามกฎหมายต่อไป
ปฏิบัติการ “มหาดไทย” รุกคืบยึดคืนที่ดินบริเวณ “เขากระโดง” เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่ 2 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา ตามเส้นตายภายหลัง “ภูมิธรรม เวชยชัย” มท.1 คนใหม่ควง “เดชอิศม์ ขาวทอง” มท.3 ในฐานะกำกับดูแล “กรมที่ดิน” แถลงข่าวเมื่อ 1 ส.ค.68 ที่ผ่านมา
โดยยืนยันว่า ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดในศาลฎีกา ชี้ชัดว่าที่ดินกว่า 5,083 ไร่บริเวณเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
“เดชอิศม์” ให้เหตุผลสำคัญในการแถลงข่าวครั้งดังกล่าวว่า เมื่อศาลมีพิพากษาแล้ว รฟท.ได้ทำหนังสือถึง กรมที่ดิน เพื่อทำหนังสือเพิกถอนโฉนด แต่กรมที่ดินขณะนั้น เพิกเฉย รฟท.จึงได้ฟ้องกรมที่ดิน ต่อศาลปกครองกลาง โดยศาลปกครองได้พิพากษาว่าให้เพิกถอนโฉนดตาม มาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน แต่มีการแย้งเรื่องขอบเขตที่ดิน ท้ายคำพิพากษา จึงมีคำสั่งว่า ให้ตั้งคณะกรรมการ ที่มีอำนาจร่วมกับ รฟท. ให้สอบที่ดินให้ชัดเจนขึ้นเพื่อจะได้เพิกถอน ปรากฏว่า กรมที่ดินตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมา แทนที่จะทำตามคำสั่งศาลฎีกา ปรากฏว่าตามรายงานไม่มีการสอบเขตเลย และมีคำสั่งว่าให้ยุติเรื่องด้วยเหตุผลต่างๆ นานา อธิบดีกรมที่ดิน ก็เห็นชอบตามมติคณะกรรมการชุดนั้น จากนั้นก็เป็นที่พูดถึงกันมาก
“ผลสรุปว่า คณะกรรมการชุดที่ตั้งชุดนั้น ตามมาตรา 61 วรรค 2 ไม่ได้ทำตามกระบวนการที่ครบถ้วน คำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินเลยไม่ชอบ จึงได้แสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่ม ว่าได้สอบเขตที่ดินแล้วหรือไม่ ปรากฏว่าปี 2567 กรมที่ดินและ รฟท.ได้ร่วมกันสอบแนวเขตชัดเจนแล้ว วันนี้จึงสรุปได้ว่า อธิบดีกรมที่ดินมีอำนาจเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง ตามมาตรา 61 วรรค 8 ได้เลย” มท.3 ระบุ
ขณะที่ “ภูมิธรรม” ยืนยันว่า “เมื่อพิสูจน์ว่าเป็นที่ดินของรัฐ มันไม่อาจจะมีที่ดินแปลงไหนที่จะสามารถมาเป็นเจ้าของที่ท่านพระราชทานให้การรถไฟฯ ที่ดินต้องถูกประกาศยกเลิก เพื่อเป็นที่ดินของรัฐ หลังจากฟ้องร้องกันแล้ว กรณีนี้ที่มีการสร้างสนามฟุตบอล สนามแข่งรถ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว ไม่มีเหตุให้เอกชนที่ยึดครองอ้างว่าเป็นของตัวเอง”
แม้ปฏิบัติการ “ทวงคืนเขากระโดง” กลับเป็นของรัฐครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นปฏิบัติการต่อเนื่องจากการ “ทวงคืนมหาดไทย” ของ “ก๊กแดง” ภายหลังแตกหักร้าวลึกกับ “ก๊กน้ำเงิน” แต่ในข้อเท็จจริงตามเอกสาร และตามคำพิพากษานั้น ที่ดินกว่า 5 พันไร่บริเวณเขากระโดง คือ ที่ดินของ รฟท.
ขั้นตอนต่อไปคือ รฟท.โดย วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าฯ รฟท. เปิดเผยว่า กระบวนการเพิกถอนโฉนดที่เอกสารสิทธิที่ดินยังคงต้องรอคำสั่งจากอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ หรือผู้รักษาราชการแทนก่อน เพื่อสั่งการให้สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ ดำเนินการตามคำสั่งพิพากษาของศาลปกครองกลาง ที่ตัดสินให้เพิกถอนโฉนดตามคำพิพากษาของศาลฎีกา โดยจะติดตามผลการเพิกถอนเอกสารสิทธิจากกรมที่ดินเป็นระยะๆ
ในส่วนของผู้ครอบครองที่ดินภายในพื้นที่ดังกล่าวนั้น รฟท.เตรียมเปิด 2 ออปชันให้เลือก ได้แก่ 1.เปิดให้ผู้ครอบครองเช่าที่ดินดังกล่าวจาก รฟท. โดยผ่านการเจรจา 2.หากไม่สามารถตกลงกันได้ ก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป ซึ่งเป็นกระบวนการ “ขับไล่”
“อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบนั้น การรถไฟฯ พร้อมเปิดทางเลือกให้สามารถเช่าที่ดินตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ซึ่งถือเป็นแนวทางการเยียวยาที่ต้องการให้มีผู้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด” ผู้ว่าฯ รฟท.ระบุ
พลันที่เรื่องนี้เกิดขึ้น “ก๊กน้ำเงิน” ที่ฮึ่มๆ กับท่าทีของ “ก๊กแดง” มาตลอด เริ่มขยับออกแอ็กชันค้านทันที ตั้งแต่ให้ฝ่ายกฎหมายเตรียมดูข้อมูลเรื่องนี้
ขณะเดียวกัน “ไชยชนก ชิดชอบ” เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ลูกชาย “ครูใหญ่อีสานใต้” ยืนยันว่า “ขอฝากข้อคิดว่าหากผมผิดจริง และต้องจ่ายค่าปรับ 5 แสนบาทต่อปี ตามที่มีการนำเสนอข่าวมา ถามว่าพวกผมจ่ายได้สบายอยู่แล้ว เพราะที่ดิน 5 พันไร่ เป็นของตระกูลผมมีสัดส่วนเพียงนิดเดียว ดังนั้น คำถามคือ จะกระทบธุรกิจครอบครัวผมหรือไม่ ถ้าต้องจัดการยกคืนให้ และปรับเปลี่ยนสถานที่ให้ ก็ไม่กระทบ แต่หากกระทบก็กระทบอย่างน้อยมาก”
พร้อมกับอ้างถึง พี่น้องประชาชน “ชาวบ้านตาดำๆ” ชาวบุรีรัมย์ที่ถือครองกว่า 4 พันกว่าไร่ว่า “จะอยู่กันอย่างไรหากเป็นแบบนี้ นี่คือ เหตุผลที่พวกผมยืนอยู่ตรงนี้ เงินนิดเดียวที่ต้องเคลียร์ในทางกฎหมายจ่ายค่าชดเชย ไม่มีปัญหา แต่เป็นเรื่องนี้ต่างหากที่ทำให้ผมต้องยืนตรงนี้ เดี๋ยวรอดู ผมว่าความจริงจะกระจ่าง” ไชยชนก ระบุ
ล่าสุด 3 ส.ค.68 “กรุณา ชิดชอบ” รองประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แชร์บทความ “เขากระโดง“ บทเรียนการเมือง หรือ บทพิสูจน์การกลั่นแกล้ง? พร้อมเขียนแคปชันว่า “ขอให้เอาความจริงขึ้นมาพูดนะคะพี่อ้วน”
สำหรับที่ดินของ “ตระกูลชิดชอบ-เครือข่าย” ที่อยู่ในบริเวณเขากระโดงดังกล่าวนั้น มีประมาณ 12 แปลง 288 ไร่เศษ ที่อยู่ในชื่อคนตระกูล “ชิดชอบ” โดยในจำนวนนี้มีการถือครองในชื่อคน และนิติบุคคล รวมถึงปล่อยเช่าให้นิติบุคคล มีนิติบุคคลที่เข้ามาถือครองกรรมสิทธิ์ หรือเช่าที่ดินดังกล่าวต่อจากคน “ตระกูลชิดชอบ” มี 4 บริษัท จากทั้งหมด 5,083 ไร่ ได้แก่
1.บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด ถือครอง 5 แปลง ในจำนวนนี้มี 1 แปลงเป็นที่ตั้งของบ้านพักอาศัย “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” น้องชาย “เนวิน ชิดชอบ” ครูใหญ่ “ค่ายน้ำเงิน” บริษัทแห่งนี้ ทำธุรกิจ “โรงโม่หิน” ถือเป็นธุรกิจหลักของคนตระกูลชิดชอบ ดำเนินการมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยุค “ชัย ชิดชอบ” อดีตนักการเมืองใหญ่ “เมืองเซาะกราว” อดีตประธานรัฐสภา อดีต สส.หลายสมัย ผู้เป็นบิดา ปัจจุบันมี เอกราช ชิดชอบ และ ณัฐฐา เหมาะดี เป็นกรรมการ ผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ 30 เม.ย.2568 ไม่มีคนตระกูลชิดชอบเข้าไปถือหุ้นแล้ว โดยปรากฏชื่อ คุณาวุฒิ กิจบุรินทร์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด 99.9967%
2.บริษัท เค. มอเตอร์สปอร์ต จำกัด ถือครอง 2 แปลง ทำธุรกิจจัดตั้งสนามสำหรับเล่นกีฬา จำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขันกีฬา มีกรรมการ 2 คน เนวิน ชิดชอบ ชิดชนก ชิดชอบ (บุตรสาวเนวิน) และยังมีคนตระกูลชิดชอบถือหุ้นเป็นหลัก โดย โชติชนก ชิดชอบ บุตรชาย “เนวิน” ถือหุ้นใหญ่สุด 78% ชิดชนก ชิดชอบ ถือ 12% ชนน์ชนก ชิดชอบ ถือ 5% เนวิน ชิดชอบ ถือ 1% กรุณา ชิดชอบ ถือ 1% ตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ ถือ 2.5%
3.บริษัท เค 2009 ลิซ จำกัด เช่ามา 4 แปลง เป็นที่ตั้งสนามฟุตบอลช้างอารีนา ทางเข้าสนามแข่งรถ และที่ตั้งตลาด มี ชิดชนก ชิดชอบ บุตรสาวเนวิน เป็นกรรมการคนเดียว มีตระกูลชิดชอบถือหุ้นทั้งหมดได้แก่ ชนน์ชนก ชิดชอบ ถือหุ้นใหญ่สุด 76% เนวิน ชิดชอบ ถือ 14% ชิดชนก ชิดชอบ ถือ 10%
4.บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สปอร์ตโฮเต็ล จำกัด เช่าช่วงต่อจากบริษัท เค 2009 ลิซ จำกัด 1 แปลง เป็นที่ตั้งโรงแรม มีกรรมการ 2 คน ชิดชนก ชิดชอบ และประมูลชัย นพสุวรรณวงศ์ มีบริษัท เค 2009 ลิซ จำกัด ของตระกูลชิดชอบถือหุ้นใหญ่สุด 60% ชิดชนก ชิดชอบ ถือ 30% โชติชนก ชิดชอบ ถือ 7% ประมูลชัย นพสุวรรณวงศ์ ถือ 3%
ล่าสุด เรื่องนี้ถูกนำไปขยายผลใน 2 องค์กรตรวจสอบ ได้แก่ 1.กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ลุยสางปมพิพาทที่ดินบริเวณเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ โดยคณะพนักงานสืบสวนได้ประสานงานกับ 4 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รฟท. กรมที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ และศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อขอเอกสาร และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการถือครองโฉนดที่ดินในพื้นที่ดังกล่าว กำหนดกรอบเวลา 15 วัน ให้หน่วยงานส่งข้อมูลชี้แจง
เป้าหมายเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการครอบครองที่ดิน รวมถึงพิจารณาความผิดที่อาจเข้าข่ายตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เนื่องจากพบพฤติการณ์ที่ผู้ครอบครองโฉนดที่ดินอาจใช้เอกสารสิทธิเพื่อการค้าหรือจำหน่าย จนได้รับผลตอบแทนทางการเงิน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2.สำนักงาน ป.ป.ช. โดยเจ้าเดิม “ทนายอั๋น บุรีรัมย์” ภัทรพงศ์ ศุภักษร เพื่อขอให้ตรวจสอบจริยธรรมของ “ไชยชนก ชิดชอบ” สส.บุรีรัมย์ เขต 2 เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย และ “อนุทิน ชาญวีรกูล” สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อดีต มท.1 กรณีข้อพิพาทปมเขากระโดงดังกล่าวด้วย
ทั้งหมดคือ กระบวนการยุติธรรมที่เริ่มรัน “นับหนึ่ง” เอาที่ดิน “สมบัติของชาติ” ซึ่งถูกนำไปใช้หาผลประโยชน์มายาวนาน กลายเป็นข้อพิพาทนับร้อยปี กลับคืนสู่ภาครัฐอย่างที่ควรจะเป็นเสียที
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







