'อังคณา' หนุน 'ไทย-กัมพูชา' เจรจาปมขัดแย้งดินแดน-ข่าวปลอม

"อังคณา" บอกเป็นโอกาสดี ไทย-กัมพูชา ใช้เวที เจบีซี แก้ขัดแย้ง แนะให้แก้ปัญหาข่าวปลอม หวั่นเป็นประเด็นยั่วยุ-แทรกแซง
ที่รัฐสภา นางอังคณา นีละไพจิตร สว. ฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา (GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย ว่า เป็นโอกาสดีที่ทั้งสองฝ่ายได้เผชิญหน้าและแก้ปัญหาร่วมกัน แต่ในความเป็นคู่ขัดแย้งแม้มีสัญญาให้หยุดยิงแต่อาจมีการก่อเหตุการรุนแรงขึ้นได้อยู่ ดังนั้น การประชุมในวันนี้ (4 ส.ค.) ควรแลกเปลี่ยน และแก้ปัญหาร่วมกัน โดยเฉพาะข่าวปลอม รวมถึงการใช้โซเชียลมีเดียของอินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการยั่วยุและอาจเป็นการแทรกแซงการหารือกันอย่างสร้างสรรค์
เมื่อถามว่าแม้กัมพูชาจะร่วมโต๊ะเจรจาแต่เหมือนมีนัยยะบางอย่างที่ไม่จริงใจกับไทยนั้น นางอังคณา กล่าวว่า กัมพูชาเป็นประเทศที่ผ่านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาแล้วผ่านเหตุการณ์ความรุนแรงมาเยอะมาก สิ่งหนึ่งที่เราเจอคือการนำแทคติกต่าง ๆ และเชื่อว่าฝ่ายไทยคงจะต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาหารือ บนโต๊ะเจรจาเช่นกัน เช่น เมื่อรับปากว่าหยุดยิงแต่ทำไมไม่หยุด หรือยังมีระเบิดที่ตกอยู่กลางถนน ดังนั้น กัมพูชาจำเป็นที่จะต้องยอมรับข้อตกลงบนพื้นที่เจรจาเพราะมีสักขีพยาน อย่างมาเลเซียที่เสนอตัวเป็นคนกลาง ให้ไทยกับกัมพูชาได้พูดคุยกันแต่สิ่งสำคัญคือเรื่องความจริงใจ
เมื่อถามถึงกรณีที่กัมพูชาไม่ได้จัดการกับศพของทหารของตัวเองสะท้อนปัญหาอะไรบ้าง นางอังคณา กล่าวว่า ทางกัมพูชาได้ให้สัญญาสัตยาบัน อนุสัญญาการบังคับสูญหาย ดังนั้นกรณีทหารที่เสียชีวิตและไม่ได้พิสูจน์ทราบ ว่าเป็นใครและบอกญาติไม่ได้เลยว่าคนเหล่านี้หายไปไหนหรือเสียชีวิตที่ไหน ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญา ซึ่งกัมพูชาต้องตระหนักถึงเรื่องดังกล่าว
"ถ้าญาติยังไม่รู้ว่าทหารได้เสียชีวิตไปแล้วญาติก็จะคิดว่าเขาคือผู้สูญหาย ซึ่งจะขัดต่ออนุสัญญา ในส่วนของทางการไทยคงจะเข้าไปช่วยในการเก็บศพไม่ได้ เนื่องจากไม่ใช่พื้นที่ของไทย ดังนั้นกัมพูชาต้องมีความรับผิดชอบต่อพลเมืองของตนเอง เพราะกัมพูชาหลังศึกสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ได้ลงนามอนุสัญญาระหว่างประเทศเยอะมาก แต่ปัญหาคือไม่มีการปฏิบัติตาม ข้อกฎหมายหรืออนุสัญญาระหว่างประเทศที่ตนเองเป็นทวิภาคีดังนั้นเรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่ากังวล" นางอังคณา กล่าว
นางอังคณา กล่าวต่อว่าตนเองขอเรียกร้องรัฐบาลกัมพูชา ว่าควรที่จะให้เกียรติกับคนที่เสียชีวิต ถึงแม้จะเป็นทหารฉันผู้น้อยการเคารพศพคืนศพให้กับญาติ มีความสำคัญมากที่รัฐบาลกัมพูชาควรจะรีบเร่งดำเนินการ ทั้งนี้ ประชาชนกัมพูชาโดยเฉพาะครอบครัวของทหารให้มีการเรียกร้องกับกองทัพกัมพูชาและรัฐบาลกัมพูชาในการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอย่างไรก็ดีขณะนี้ทางการไทยได้ถ่ายภาพทหารที่เสียชีวิตแล้ว และพื้นที่ตรงนั้นไทยไม่สามารถก้าวล่วงไปได้ และไม่รู้ว่าจะมีการฝังกับระเบิดอะไรไว้อีกหรือไม่
เมื่อถามว่าการสื่อสารของไทยยังตามหลังกัมพูชาอยู่หรือไม่ นางอังคณา กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าการเริ่มต้นความขัดแย้งและการใช้ความรุนแรงต่อกัน ไทยช้ามากในการสื่อสารไปยังประชาคมโลก แต่จากการแถลงของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อ 2 วันที่ผ่านมาก็ถือว่ามีความก้าวหน้า ทันต่อเหตุการณ์ เช่น กรณีที่กรรมการสิทธิมนุษยชนของกัมพูชาประณามไทย ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงข้อเท็จจริงไปแล้วว่าไม่ได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และกรรมการสิทธิมนุษยชนของกัมพูชา ไม่ได้เป็นสถาบันสิทธิมนุษยชนระดับชาติซึ่งรัฐบาลกัมพูชาเป็นคนตั้งเองไม่ได้เป็นอิสระเหมือนของไทย ซึ่งประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์เปิดโอกาสเชิญทางสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) และผู้แทนกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC)เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยให้เข้าไปเยี่ยมทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัวทั้ง 20 นายโดยการเปิดโอกาสให้เข้าไปเยี่ยมเป็นการสร้างหลักประกัน ให้ทหารทั้ง 20 นายที่ถูกควบคุมตัว จะได้รับการปฏิบัติตามหลักมาตรฐานสากลและจะไม่มีการละเมิด สิทธิมนุษยชน นี่ถือเป็นการตอบสนองที่ทันท่วงทีของกระทรวงการต่างประเทศ ถึงแม้ที่ผ่านมาช่วงแรกจะดูช้ามาก
เมื่อถามว่าปัญหาไทย-กัมพูชา คาดว่าจะไม่จบลงโดยง่ายหรือไม่เพราะอาจมีประเทศมหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง นางอังคณา กล่าวว่า เท่าที่สังเกตการณ์จีนหรือสหรัฐอเมริกา ไม่ได้ยืนอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง เนื่องจากประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ก็มีผลประโยชน์ทั้งในกัมพูชาและไทยด้วย แต่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องจับตา







