'สมรภูมิข่าว'ไทยพ่ายกัมพูชา? ทีม (ไม่) เวิร์ก จุดอ่อนสื่อรัฐบาล

สมรภูมิข่าวสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทางรัฐบาลไทยกำลังถูกมองว่าใช้กลไกการสื่อสารล่าช้า ก้าวช้ากว่า "กัมพูชา" จนทำให้กระทบภาพรวมและเป็นจุดอ่อนของรัฐบาล
KEY
POINTS
- การสื่อสารภายใต้องคาพยพของรัฐบาลกับกองทัพ ถูกมองว่าไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนเกิดเสียงวิจารณ์ว่า รัฐบาลไทยก้าวช้ากว่ากัมพูชาในเรื่องการสื่อสาร
- กัมพูชา ชิงการนำในยุทธวิธีสงครามข่าวสาร ด้วยการฟ้องประชาคมโลกด้วยข้อมูลกลับด้าน เสมือนกัมพูชาคือเหยื่อ
- พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ประเมินเรื่องวิกฤติสงครามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลไทย ที่พลาดท่าให้กับเพื่อนบ้านอย่าง “กัมพูชา” จุดหลักเกิดจากการมีปัญหาความขัดแย้งของผู้นำจิตวิญญาณของสองประเทศ
- ความไม่เป็นเอกภาพการสื่อสารสมรภูมิข่าวสาร เป็นจุดอ่อนของรัฐบาล รวมทั้งสถานะนายกฯ "แพทองธาร ชินวัตร" ก็ยังมีความไม่แน่นอนในคดีคลิปร้อน
สถานการณ์การปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในทางหนึ่ง มีการมองว่า “รัฐบาลไทย” พลาดท่า เสียเหลี่ยมให้กับผู้นำกัมพูชาอย่าง “สมเด็จฮุน เซน” ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา โดยเฉพาะการสู้รบในยุทธวิธีการสื่อสารในภาวะวิกฤติระหว่างประเทศ ด้วยสภาพที่นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ถูกยุติการปฏิบัติหน้าที่ระหว่างรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีคลิปร้อนการเจรจาข้อพิพาทชายแดนกับสมเด็จฮุน เซน
ทำให้ภาระทั้งหมดตกอยู่ที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
กระบวนการสื่อสารภายใต้องคาพยพของรัฐบาลกับกองทัพ ถูกมองว่าไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนเกิดเสียงวิจารณ์ว่า รัฐบาลไทยก้าวช้ากว่ากัมพูชาในเรื่องการสื่อสาร ทั้งที่ไทยได้เปรียบ ทั้งในแง่ความชอบธรรมในการป้องกันตนเองจากการรุกราน และการยิงโจมตีของกัมพูชา แต่กลับถูกกัมพูชาชิงการนำในยุทธวิธีสงครามข่าวสาร ด้วยการฟ้องประชาคมโลกด้วยข้อมูลกลับด้าน เสมือนกัมพูชาคือเหยื่อ
ทันทีที่พ้นเส้นตายหยุดยิงหลังเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 29 ก.ค. 2568 ด้วยการประกาศจับมือกันหลังการหารือแนวทางสันติภาพในภูมิภาคอาเซียน ระหว่างรักษาการนายกฯ ภูมิธรรม และ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตามคำเชิญของ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเชีย ในฐานะประธานอาเซียน ที่ประเทศมาเลเซีย แต่เหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดน ใช่ว่าจะสงบลง เพราะยังคงมีสถานการณ์ละเมิดหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชา และเพิ่มกำลังในพื้นที่ปะทะหลายแห่ง
ว่ากันว่า สาเหตุที่ทำให้ภาพรวมการสื่อสารในภาวะวิกฤติของรัฐบาลไร้เอกภาพ เพราะมีการแบ่งแยกการสื่อสารกัน
บางตำแหน่งที่ควรสื่อสารให้ทันท่วงที ด้วย "โฆษกรัฐบาล" ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการ เป็นภาพลักษณ์ของรัฐบาล ทว่ากลับถูกการลดทอนประสิทธิภาพ มาเน้นการสื่อสารเชิงโซเชียลมีเดีย ในการสู้รบแบบ “แอร์วอร์” หรือยุทธวิธีสื่อสารแบบนางแบก นายแบก ซึ่งเป็นการใส่ความรู้สึก และดิสเครดิตฝั่งตรงข้าม
นั่นจึงทำให้เห็นภาพออกสื่อโซเชียลมีเดีย ที่ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และ รมว.วัฒนธรรม มักอัปไอจีสตอรี่อยู่บ่อยครั้งด้วยการโหนการสื่อสารของอินฟลูเอนเซอร์ทางโซเชียลมีเดีย
รวมทั้งรัฐบาลยังวาง “จักรภพ เพ็ญแข” มีตำแหน่งที่ปรึกษาของเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มาทับซ้อนการสื่อสารกับ “จิรายุ ห่วงทรัพย์” โฆษกรัฐบาลตัวจริงในภาวะที่ “ไทย” ต้องสู้รบด้านการข่าวสารกับ “กัมพูชา”
ขณะที่รัฐมนตรีกำกับกรมประชาสัมพันธ์ อย่าง “จิราพร สินธุไพร” ทางรัฐบาลก็ไม่ได้ใช้เครื่องไม้เครื่องมือการสื่อสารในภาวะวิกฤติครั้งนี้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ภาพรวมการสื่อสารหลัก จึงตกมาอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งกองทัพ ที่แถลงข่าวสื่อสารผ่านศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณ ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ซึ่งถูกมองว่าแถลงกันคนละเวทีจนถูกมองว่าไม่เป็นเอกภาพในการสื่อสารภาวะวิกฤต
อีกทั้งยังมีเสียงวิจารณ์จากแหล่งข่าวในทำเนียบรัฐบาลว่า จำเป็นหรือไม่ที่ “แพทองธาร” ซึ่งมีสถานะเพียง รมว.วัฒนธรรม จะต้องแอกชั่น เสมือนไม่ได้ถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ
ขณะที่ นายกฯแพทองธาร มักเลือกใช้กุนซือ คีย์แมนการสื่อสารอย่าง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รวมทั้งก๊วนไอติมรอบข้าง จนทำให้กระทบภาพรวมการสื่อสารของรัฐบาล ทั้งที่ควรปล่อยให้ “ภูมิธรรม” บัญชาการรบแบบเต็มตัว โดยไม่ต้องเกิดความเกรงใจในอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน
“ล่าช้า ไม่สอดรับกับกาารแก้ไขสถานการณ์ ทั้งที่รัฐบาลไทยได้เปรียบการสื่อสารกับประชาคมโลก แต่กัมพูชาชิงนำการสื่อสารไปยังประชาคมโลกได้มากกว่า ตรงนี้ถือว่าจุดบกพร่องของรัฐบาลไทย” พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประเมินเรื่องวิกฤติสงครามข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลไทย ที่พลาดท่าให้กับเพื่อนบ้านอย่าง “กัมพูชา”
พล.ท.ภราดร มองว่า ต้นตอมาจากการสื่อสารของรัฐบาลที่ไม่เป็นทีมเวิร์ก โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งอำนาจหน้าที่การสื่อสารระหว่างประเทศ ในเวทีอาเซียน หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือยูเอ็น เป็นหน้าที่ฝ่ายรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ ส่วนทหารซึ่งเป็นฝ่ายเผชิญหน้างานกับฝ่ายตรงข้าม ดังนั้น หน้าที่การสื่อสารควรต้องรับลูกกัน ระหว่างทหารกับรัฐบาล แต่สภาพที่เกิดขึ้น เราจะเห็นว่าฝ่ายการเมืองไม่รับลูกจากฝ่ายทหารไปสื่อสารเลย
พล.ท.ภราดร มองจุดหลักที่ให้การสื่อสารของรัฐบาลล้มเหลว เกิดจากการมีปัญหาความขัดแย้งของผู้นำจิตวิญญาณของสองประเทศ ที่ใช้เหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนมากลบเกลื่อนต้นเหตุความขัดแย้งของผู้นำจิตวิญญาณสองฝ่าย
“ยิ่งเกิดเรื่องคลิปของนายกฯ อีก ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจกันระหว่างฝ่ายการเมืองกับกองทัพ นั่นจึงทำให้เกิดปัญหาในเรื่องเอกภาพ ทำให้ทหารมองโดยไม่เชื่อว่ารัฐบาลอาจถูกแบล็กเมล์ได้ โดยเป้าหมายของกัมพูชาต้องการพื้นที่เพื่อนำเหตุการณ์ทั้งหมดไปสู่ศาลโลก ฉะนั้น พื้นที่ชายแดนจุดยุทธศาสตร์สำคัญจะต้องไม่ให้กัมพูชายึดครองได้”
อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอถึงการสู้รบในภาวะสงครามข้อมูลข่าวสารนั้น “รัฐบาล” และ “กองทัพ” ควรเป็นอันหนึ่งอันเดียวประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เห็นได้จากเหตุการณ์ในอดีตที่เมื่อปี 2553 รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จับมือกับกองทัพใช้กระบอกเสียงของรัฐบาลสื่อสารโดยตรงถึงประชาชนอย่างทันท่วงทีผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย หรือทีวีพูล
ต้องยอมรับว่า สาเหตุที่ให้เกิดภาวะวิกฤติการสื่อสารในสงครามข่าวนั้น ส่วนหนึ่งคือ ความสุ่มเสี่ยงและไม่แน่นอนของรัฐบาลเพื่อไทย ที่รอวันศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดสถานะความเป็นนายกฯของ “แพทองธาร” จึงทำให้ทั้งฝ่ายการเมือง และข้าราชการประจำ ต่างนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้
สถานการณ์การปะทะตามแนวชายแดน ที่เกิดขึ้น แม้แต่ยิ่งซ้ำเติมสถานะนายกฯ แต่“แพทองธาร”จะไม่ใช้ทางลงด้วยการลาออก หรือยุบสภาฯอย่างแน่นอน นอกจากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองเรื่องคดี จนหลุดจากเก้าอี้นายกฯ
สูตรต่อไปของ“พรรคเพื่อไทย” คือดัน “ชัยเกษม นิติสิริ” เป็นนายกฯ ขัดตาทัพ เพื่อรอจังหวะ วัน ว. เวลา น. ยุบสภาฯ เลือกตั้งใหญ่กันใหม่
ไม่ว่าจะนายกฯ จะเป็นใคร หากเป็นคนของพรรคเพื่อไทย และตัวแทนของ“ผู้นำจิตวิญญาณสูงสุดของพรรคเพื่อไทย”ด้วยแล้ว แน่นอนว่า “ผู้นำจิตวิญญาณแห่งกัมพูชา” ย่อมไม่สงบศึกลงอย่างง่ายๆ
สอดคล้องการอ่านเกมของ พล.ท.ภราดร ที่มองว่า การจบแบบยั่งยืนในสถานการณ์ครั้งนี้ของกัมพูชา ที่ยั่งยืน คือ สุดท้ายต้องเปลี่ยนรัฐบาล เพราะผู้นำจิตวิญญาณกัมพูชาไม่ไว้วางใจผู้นำจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย







