บ่วง 'ม.144' มัด ‘พิเชษฐ์’ ‘รอด-ไม่รอด’ สะเทือนการเมือง

วันพรุ่งนี้ ศาลรธน. นัดชี้ชะตา "พิเชษฐ์" ว่าจะถูกบ่วง "ม.144" มัดตัวและต้องพ้นตำแหน่ง "สส." หรือไม่ ทว่าผลการตัดสินที่ชัดเจนจะเป็นอย่างไร มีผลสะเทือนการเมืองแน่นอน
KEY
POINTS
- ศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติวินิจฉัยคดี "พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน" กรณีถูกกล่าวหาว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144
- ผลการตัดสินมีแนวโน้มทั้ง "รอด" และ "ไม่รอด" โดยขึ้นอยู่กับการตีความพฤติกรรมว่าเป็นการให้นโยบายตามปกติ หรือมีเจตนาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง
- คำวินิจฉัยจะส่งผลกระทบทางการเมืองอย่างสูง และอาจกลายเป็นบรรทัดฐานสำคัญต่อคดีอื่นที่เกี่ยวกับการใช้งบประมาณของฝ่ายการเมือง เช่น กรณีโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
ในวันพรุ่งนี้ (1 ส.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดนัดลงมติ และอ่านคำวินิจฉัยในคดีที่ สส.พรรคประชาชน 121 คน นำโดย ภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม. ยื่นถอดถอน “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ฐานะรองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง เนื่องด้วยมีพฤติกรรมส่อทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง ว่าด้วยการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน
ถือเป็นคดีการเมืองที่ต้องจับตา เพราะสถานะ “พิเชษฐ์” คือ รองประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ และเป็น สส.เขต ที่ถือเป็นฐานที่มั่นทางการเมืองของ “พรรคเพื่อไทย”
มีการวิเคราะห์กันว่า เรื่องนี้อาจนำไปเป็นบรรทัดฐานของคดีที่เกี่ยวเนื่อง ในชั้นการตรวจสอบของ “กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ” (ป.ป.ช.) ซึ่งมีคณะประชาชน นำโดย ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ยื่นให้ตรวจสอบ "คณะรัฐมนตรี" ของ "แพทองธาร ชินวัตร” และ “เศรษฐา ทวีสิน” กรณีเสนอให้ตัดงบประมาณ 35,000 ล้านบาท ที่จัดสรรให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 5 แห่ง โยกไปใช้ในโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งส่อว่าเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144
ทั้ง 2 คดี ถือว่า เนื้อหาสามารถเทียบเคียงกันได้ เพราะเป็นการใช้อำนาจเพื่อ “โยกงบประมาณ” แต่ในแง่รายละเอียดต้องพิจารณา โดยเฉพาะการกระทำเพื่อให้ตนเองหรือพวกพ้องมีส่วนได้เสียกับการใช้เงิน
คดีพิเชษฐ์ มีประเด็นเชิงลึกที่ต้องพิจารณา โดยเฉพาะพฤติกรรมที่ชี้ให้เห็นว่า “เป็นการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้มีส่วนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย” ซึ่งวรรคสองของมาตรา 144 ระบุไว้ชัดเจนว่า “ทำไม่ได้”
ในการไต่สวนพยานคดีนี้ของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ 24 ก.ค. ซึ่งเชิญบุคคล 9 คนไปไต่สวน รวมถึง “ฝ่ายข้าราชการประจำของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ” นำโดยว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาฯ ศาลรัฐธรรมนูญจึงเน้นการซักถามไปถึงพฤติกรรมต้นเรื่องที่เกิดขึ้น
อาทิ มีอำนาจเสนอนโยบาย และของบประมาณหรือไม่ การทำกิจกรรมในพื้นที่มีเฉพาะ จ.เชียงราย หรือไม่ โดยได้นำเอกสารที่เป็นข้อบันทึกการหารือมาพิจารณา ซึ่งถูกรับรองไว้ว่าเป็น “เอกสารราชการ”
สำหรับประเด็น “เอกสารราชการ” นั้น “ภัณฑิล” เคยเปิดเผยรายละเอียดซึ่งชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ “พิเชษฐ์” ตั้งใจนำงบประมาณแผ่นดินไปแจกให้กับกลุ่มเป้าหมาย หรือฐานเสียงที่สนับสนุนตนเองและพวกพ้อง ในรูปแบบ “แจกทุน” และ ได้ลงนามหนังสือส่งถึง “วันมูหะมัดนอร์ มะทา”ประธานรัฐสภา ให้ลงนาม “เห็นชอบ” แต่ถูก “ฝ่ายข้าราชการประจำ” ทั้งฝ่ายเลขาสภาฯ สำนักนโยบายและแผน สำนักงบประมาณของสภาฯ ทักท้วง
และมีบันทึกกลับไปว่า “แจกเงินทำไม่ได้เพราะขัดกับกฎหมายงบประมาณ กฎหมายวินัยการเงินการคลัง รวมถึงเสี่ยงขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 144”
ทว่า ด้วยความต้องการของ “ฝ่ายการเมือง” ที่มีสถานะเป็น “เจ้านาย” ทำให้ “ฝ่ายข้าราชการประจำ” จำใจให้ความเห็น แนะทางที่เป็นไปตามแนวของ “สำนักงบประมาณ”
จนสามารถผ่านการพิจารณาของสำนักงบประมาณ จนนำไปสู่การรับรอง และอนุมัติงบประมาณให้ดำเนินการได้ ในปีงบประมาณ 2568
ทำให้ “ภัณฑิล” ตั้งเป็นข้อสังเกตว่า “นี่คือการทุจริตเอางบประมาณที่เป็นภาษีของประชาชน ไปลงพื้นที่ตัวเอง ทั้งที่ฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ออกกติกาตรวจสอบงบประมาณ จะชงเอง ตบเอง ไม่ได้ เอาเงินเข้าเขตตัวเองแล้วนำมาแจก จัดงานไม่ได้”
พร้อมกับเชื่อว่า ในวันพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 1 ส.ค. “พิเชษฐ์” จะไม่รอดพ้นการเอาผิดตามกฎหมาย เพราะพฤติกรรมขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 144 อย่างชัดเจน
ทว่าในมุมของ “ฝ่ายข้าราชการสภาฯ” นั้น ถูกมองเป็น 2 มุม คือ มุมแรก คือ “รอด” เพราะในเงื่อนไขที่มองว่า “ทุจริต” นั้น ถูกปรับรายละเอียด ให้ถูกต้องตามระเบียบราชการ และสำนักงบประมาณ อีกทั้งการใช้งบประมาณในพื้นที่นั้น ไม่มีเฉพาะเขตเชียงรายเท่านั้น อีกทั้งการใช้งบประมาณ “พิเชษฐ์” ไม่ได้สั่งตรง เพราะมี “คณะกรรมการ” ที่ตั้งขึ้น เป็นผู้พิจารณาจากคำขอที่ส่งมาจาก “คนพื้นที่”
จึงเชื่อว่า จะตีตกข้อกล่าวหาว่า “มีส่วนในการใช้จ่ายงบประมาณ” ที่เป็นบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้
อีกทั้งในมุมของการบริหาร “พิเชษฐ์” ถือเป็นฝ่ายนโยบาย โดยการให้นโยบายกับ “ฝ่ายปฏิบัติงาน” ถือเป็นเรื่องที่ทำได้ตามระเบียบบริหารรัฐสภา และที่ผ่านมาในยุคของประธานสภาฯ หรือรองประธานสภาฯ มักมีการมอบนโยบายเพื่อให้ทำโครงการต่างๆ เช่น โครงการบ้านเมืองสุจริต ในยุค “ชวน หลีกภัย” เป็นประธานสภาฯ หรือ โครงการที่เกี่ยวเนื่องกับการเมือง-รัฐธรรมนูญ ในยุคที่ “ปดิพัทธ์ สันติภาดา” เป็นรองประธาน
นอกจากนั้นแล้ว ในเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ไม่ได้ระบุกรอบแห่งพฤติกรรมที่ชัดเจนว่า “พฤติกรรมขนาดไหนที่ทำได้ หรือแบบไหนที่ไม่ได้ และถือว่าผิด” เช่น การให้นโยบายถือว่าผิดหรือไม่ การเสนอโครงการถือว่าผิดหรือไม่ หรือรวมเฉพาะ แปรญัตติงบประมาณหลังถูกตัดทำได้หรือไม่
นอกจากนั้น ในประเด็นการรับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เลือกไม่รับคำร้องในประเด็นที่เสร็จสิ้นแล้ว คือ การพิจารณา พ.ร.บ.งบฯ68 ทั้งที่เป็นกรณีตั้งต้นของเหตุของพฤติกรรมของ “พิเชษฐ์” ที่ถูกยื่นให้ตรวจสอบ เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์วิธีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นอีกมุมที่ “ผู้ถูกร้อง” อาจได้รับประโยชน์จากการพิจารณาคดี และนำไปสู่ “ทางรอด” ในตอนท้ายได้
อย่างไรก็ดี ในอีกมุมคือ “ไม่รอด” เพราะเจตนาตั้งต้น ที่เป็นไปตามดำริของ “พิเชษฐ์” นั้น ไม่ถูกต้อง และมีนัยที่สื่อให้เห็นถึง “การแจกเงิน” แม้ชั้นแรกจะไม่ยืนยันชัดเจนว่าเฉพาะ จ.เชียงราย หรือไม่ แต่เจตนาของการทำคำขอ และการยืนยันต่อการแปรญัตติงบประมาณ หลังจากถูกตัดออกไปในชั้นกรรมาธิการงบฯ 68 นั้น เทียบได้ชัดเจนว่า ขัดต่อมาตรา 144 วรรคสอง ประเด็น “มีส่วนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมเพื่อให้ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน”
ส่วนการยกข้อเปรียบเทียบกับ “ยุคชวน-ปดิพัทธ์” ที่เสนอให้ทำโครงการต่างๆ แต่ไม่มีเจตนาตั้งต้นที่ “แจกเงิน” อีกทั้งเป็นโครงการที่ทำโดยทั่วไป จึงยกมาหักล้างพฤติกรรมของ “พิเชษฐ์” ไม่ได้
ดังนั้น ในประเด็นคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ต่อคดี “พิเชษฐ์” ไม่ว่าบทสรุปจะออกมาอย่างไร ปฏิเสธไม่ได้ว่า อาจเป็นการวางบรรทัดฐานให้กับ “นักการเมือง”
โดยเฉพาะ “ขอบเขตของการกระทำ” ที่มีผลต่อการยุ่งเกี่ยว หรือนำมาซึ่งการได้ใช้ “เงินแผ่นดิน” และอาจมีผลต่อคดีที่ ป.ป.ช. อยู่ระหว่างตรวจสอบ “ครม.” ของพรรคเพื่อไทยในตอนนี้ก็เป็นได้







