ดีล ‘ภาษีทรัมป์-สางแก๊งคอลฯ’ ภาคต่อ‘ชายแดน’ ส.ค.หัวเลี้ยวหัวต่อ

ศึกนอกที่กำลังรุกไล่ ไม่ต่างจากศึกในที่กำลังตีประชิดรัฐบาล รวมถึง“2พ่อลูกชินวัตร”ในเวลานี้ ทั้งหมดทั้งมวลต้องจับตาในเดือนส.ค.นี้ จะเข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ
KEY
POINTS
- ข้อตกลงหยุดยิงชายแดนไทย-กัมพูชา มีเงื่อนไขสำคัญจากการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ยื่นคำขาดให้หยุดยิงก่อน จึงจะมีการเจรจาเรื่องกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่ไทยกำลังเผชิญในอัตรา 36%
- รัฐบาลไทยอ้างว่าเหตุปะทะชายแดนมีต้นตอมาจากการประกาศกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งแม้สถิติการหลอกลวงจากกัมพูชาจะลดลง แต่พบว่ามีการเปลี่ยนรูปแบบมาโจมตีโซเชียลมีเดียของไทยแทน
- การประชุมคณะกรรมาธิการชายแดน (GBC) ในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ ถือเป็นภาคต่อของการแก้ปัญหาชายแดน โดยมีประเด็นสำคัญคือการฟื้นฟูช่องทางการสื่อสารโดยตรงระหว่างสองประเทศ
- เดือนสิงหาคมถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เนื่องจากต้องจับตาทั้งการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ, การประชุมแก้ปัญหาชายแดน, และคดีความทางการเมืองที่สำคัญหลายคดี
พ้นเดดไลน์ 00.00 น.วันที่29ก.ค. ตามข้อตกลง “หยุดยิง” ระหว่างไทย-กัมพูชา หลังการหารือแนวทางสันติภาพในภูมิภาค ระหว่าง “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการนายกรัฐมนตรี และ “ฮุน มาเนต”
นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตามคำเชิญจาก“อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเชีย ในฐานะประธานอาเซียนที่ประเทศมาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา
สถานการณ์ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงที่ดูเหมือนจะยังไม่หยุดยิง ชอตต่อไปที่ต้องจับตา คือ การประชุมคณะกรรมาธิการชายแดนจีบีซี จะมีขึ้นในวันที่ 4 ส.ค. โดยกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ ประเด็นสำคัญที่จะพูดคุย คือการฟื้นฟูช่องทางการสื่อสารโดยตรง ระหว่างนายกรัฐมนตรี รมว.การต่างประเทศ และรมว.กลาโหม ของแต่ละประเทศ
อย่างที่รู้กัน หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญที่นำมาสู่การตกลง “หยุดยิง” ระหว่างไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ คือคำขู่ของ “โดนัล ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ยื่นคำขาดต้องหยุดยิง ก่อนเปิดประตูสู่การเจรจากำแพงภาษีสหรัฐฯ ก่อนครบกำหนดเส้นตายการเก็บภาษีอัตราใหม่ที่จะเริ่มในวันที่ 1 ส.ค.นี้
ฉะนั้น สิ่งที่กำลังท้าท้ายและถือเป็นบทพิสูจน์ฝีมือรัฐบาล คือสกิลในการ “เจรจาต่อรอง” ปรับลดอัตราภาษี 36% ที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้
หากเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยมี 5 ประเทศจากทั่วโลกที่บรรลุข้อตกลงแล้ว ได้แก่ เวียดนาม 20% อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ 19% สหราชอาณาจักร 10% และญี่ปุ่น 15%
สำหรับประเทศอาเซียนอื่นๆ นอกจากไทย ที่ยังไม่มีดีลอย่างเป็นทางการ ยังมี บรูไน จะถูกเก็บภาษี 25% กัมพูชา 36% มาเลเซีย 25% ลาว 40% และเมียนมา 40% ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการลดภาษีจากอัตราที่ประกาศไว้ในเดือนเม.ย.
ขณะที่เกมสภาฯเห็นจังหวะขยับของ“พรรคร่วมฝ่ายค้าน” ปรับแผนรุกจากการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เป็นยื่นญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องมาตรการภาษีต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
อ่านเกมฝ่ายค้าน เห็นชัดถึงเกมชิงจังหวะ ในขณะที่รัฐบาลกำลังเสียแต้ม-เสียเครดิตจากปัญหาไทยกัมพูชา ขยี้ไปที่ต้นตอ ที่อาจมาจากปมคลิปเสียงสนทนาระหว่าง “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.วัฒนธรรม และ “อังเคิลฮุน เซ็น” ประธานวุฒิสภากัมพูชา
จนเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง “36 สว.” และสั่งให้ “แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเวลานี้
ไม่ต่างจากปัญหา “คอลเซนเตอร์” ซึ่ง “นายกฯอิ๊งค์” พยายามย้ำอยู่หลายครั้งหลายครา ว่า เหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา มีต้นตอมาจากการประกาศล้างบางขบวนการเหล่านี้ ไม่ใช่ประเด็น“คลิปเสียง”ตามที่หลายฝ่ายกล่าวหา
เช็คสถิติอาชญากรรม “คอลเซนเตอร์” และ “ภัยไซเบอร์” ที่ดูเหมือนจะลดลงในเวลานี้ แต่ลึกๆ แล้ว ยังคงแฝงตัวในรูปแบบต่างๆ ที่เปลี่ยนไป
เห็นชัดจากท่าทีของ “จิรายุ ห่วงทรัพย์”โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงวันก่อน อ้างถึงข้อมูล“ฝ่ายความมั่นคง” รายงานว่า สถิติการหลอกลวงทั้ง “คอลเซนเตอร์” และ “ไซเบอร์” จากประเทศกัมพูชา ลดลง เหลือไม่ถึง 5% แต่กลับพบว่า มีการเปลี่ยนเป้าหมาย โดยสั่งการให้แก๊งคอลเซนเตอร์เหล่านี้เข้ามาถล่มโซเชียลมีเดียของไทย ในรูปแบบ IO โดยมีการสั่งการจากกลุ่มทุน บ่อนการพนัน และแก๊งคอลเซนเตอร์ และเชื่อมโยงไปยังคนในรัฐบาลกัมพูชา
ไหนจะการเมืองที่กำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ในช่วงเดือน ส.ค.ภายใต้นิติสงครามที่กำลังรุก “2 พ่อลูกชินวัตร” ทั้งการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในคดีคลิปเสียงนายกฯ ซึ่งในวันที่ 31 ก.ค.จะครบกำหนด 15 วัน ที่นายกฯขอขยายเวลาชี้แจงข้อกล่าวหา
ล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญมีมติขยายเวลาชี้แจงข้อหาออกไปถึงวันที่4ส.ค.
สำหรับคดีนี้ ตามกระบวนการ หลังจากนายกฯ ชี้แจงข้อกล่าวหาเรียบร้อยแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญต้องส่งคำแก้ข้อกล่าวหาให้ สว.ยื่นหักล้างภายใน 15 วัน จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญจะต้องส่งคำหักล้างให้นายกฯ ซึ่งยังมีสิทธิยื่นแก้ข้อกล่าวหาเพิ่มเติมได้อีกครั้ง หลังจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องทอดเวลา ก่อนลงมติ 15 วัน ก่อนจะมีคำวินิจฉัยต่อไป
ไหนจะคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่ง “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่พรรคเพื่อไทย ตกเป็นจำเลย กรณีให้สัมภาษณ์สื่อทีวีต่างประเทศ ประเทศเกาหลีใต้ ถูกกล่าวหาว่าพาดพิงหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เมื่อปี 2558 โดยศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 22 ส.ค.
หรือคดีการบังคับโทษคดีถึงที่สุดของ“ทักษิณ”ในการส่งตัวรักษาที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งศาลฎีกาจะไต่สวนพยานนัดสุดท้ายวันที่ 30 ก.ค. และนัดฟังคำพิพากษาวันที่9ก.ย.
แน่นอนว่า ภายใต้ศึกนอกที่กำลังรุกไล่ ไม่ต่างจากศึกในที่กำลังตีประชิดรัฐบาล รวมถึง“2พ่อลูกชินวัตร”ในเวลานี้ ทั้งหมดทั้งมวลต้องจับตาในเดือนส.ค.นี้ จะเข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ







