'พล.อ.เกรียงไกร' เผย 'สว.' แนะ 'รัฐบาล' ทบทวน-ยกเลิก MOU43-44

ที่รัฐสภา พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง ฐานะอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวถึงสถานการณ์การปะทะบริเวณพื้นที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา แม้จะมีการเจรจาให้หยุดยิง โดยมั่นใจว่า กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ที่ปฏิบัติการอยู่ตามแนวชายแดนจะ สามารถที่จะยึดพื้นที่ของไทยได้ ซึ่งหากไทยยึดพื้นที่ได้ถือว่า จะเป็นข้อได้เปรียบในการพูดคุยเจรจาตกลงทำให้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นการจะ ยึดภูมะเขือ หรือ ยึดประสาทตาควาย กลับคืนมา ถือเป็นความจำเป็น เพราะถือเป็นจุดสูงข่ม เพื่อให้เกิดความได้เปรียบในการปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกบรรจุอยู่ในแผนป้องกันประเทศของกองทัพบกอยู่แล้ว

พล.อ.กรียงไกร กล่าวต่อว่าสำหรับการตอบโต้ไปมา ย่อมมีการสูญเสีย แต่กองทัพไทยมีนโยบายแน่ชัดว่า จะไม่มีการดำเนินการกับพลเรือนของฝ่ายกัมพูชา ไม่เหมือนกับกัมพูชาที่ยิงโดยมีเป้าหมายซ่อนเร้น ทำให้ประชาชนคนไทยได้รับผลกระทบ พร้อมยังชื่นชมการทำหน้าที่ของทหารแนวหน้า ที่ได้เสียสละมาตั้งแต่ต้น 

เมื่อถามถึงผลการเจรจาระหว่างทีมรัฐบาลไทย กับ ผู้นำกัมพูชาเมื่อวานนี้ (28 ก.ค.) พล.อ.เกรียงไกรกล่าวว่า เป็นสัญญาณบวก และแสดงความหวังว่า สถานการณ์จะดีขึ้นเมื่อมีหลายประเทศเข้ามามีบทบาท เช่น สหรัฐฯ และจีน แต่สุดท้ายแล้ว ทุกสงครามต้องจบที่การเจรจา ไม่ใช่การตอบโต้กันไปมา ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน และไทยควรได้เปรียบบนโต๊ะเจรจา โดยเฉพาะการรักษาพื้นที่คือหัวใจสำคัญ และใช้ แผนที่มาตราส่วน 1: 50,000 ซึ่งมีความแม่นยำสูง และไม่ควรส่งมอบพื้นที่ที่เรายึดคืนกลับไปอีกโดยไม่มีหลักประกันใด ๆ

เมื่อถามถึงข้อเสนอของวุฒิสภาต่อประเด็นที่เกิดขึ้น พล.อ.เกรียงไกร กล่าวว่า การใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 และเรียกร้องให้มีการทบทวน MOU ฉบับที่ 43 และ 44 ซึ่งอาจต้องเข้าสู่กระบวนการเจรจาใหม่ หรือแม้แต่พิจารณายกเลิกหากขัดต่อผลประโยชน์ของชาติ

เมื่อถามถึงท่าทีของ สหรัฐฯ ที่ระบุจะไม่เจรจาทางการค้า หาก ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่สงบนั้น พล.อ.เกรียงไกร กล่าวว่า เป็นแรงกดดันเชิงนโยบายที่รัฐบาลต้องรับมือ แต่ย้ำว่า หน้าที่ของทหารในแนวหน้าคือ การรักษาอธิปไตย และปกป้องประเทศจากการรุกราน แม้จะต้องสูญเสีย ต้องเจ็บปวด แต่ต้องยืนยันให้ได้ว่า การสูญเสียจะต้องไม่เสียเปล่า