เอฟเฟกต์สงคราม ไทย-กัมพูชา ‘อนุรักษ์’ฟื้น ‘เสรีนิยม’วูบ

สถานการณ์ ไทย-กัมพูชา กำลังฟื้นพลัง “ขั้วอนุรักษ์” ให้กลับมามีกระแสบวกจากประชาชน และอาจส่งผลต่อแต้มการเมืองของ “ขั้วเสรีนิยม” ลดน้อยถอยลงได้
KEY
POINTS
- ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในกองทัพมากกว่านักการเมือง ส่งผลให้คะแนนนิยมของพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านลดลง
- พรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตรสูญเสียความนิยมอย่างหนัก โดยเฉพาะในฐานเสียงภาคอีสาน เนื่องจากถูกมองว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้นำกัมพูชา
- วาทกรรม "ทหารมีไว้ทำไม" และนโยบายตัดงบประมาณกลาโหมของฝ่ายเสรีนิยม (พรรคก้าวไกล) ส่งผลย้อนกลับในทางลบ ทำให้คะแนนนิยมลดลงท่ามกลางสถานการณ์สู้รบ
- สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้กระแสการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่เน้นความมั่นคงกลับมาได้รับความนิยม ขณะที่ฝ่ายเสรีนิยมมีคะแนนนิยมตกต่ำลง
สมรภูมิรบแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ส่อแววลากยาว แม้จะมีความพยายามให้ “ขุนพลลายพราง” ของทั้งสองฝ่ายหยุดยิง แต่ต่างฝ่ายต่างระแวงจะโดนตลบหลัง จึงจำเป็นต้องหันปลายกระบอกปืนประจันหน้ากันต่อไป
ปฏิเสธไม่ได้ว่าศึกครั้งนี้ มีผลต่อคะแนนนิยมทางการเมือง ปฏิกิริยาของ “ประชาชน” ที่เชื่อมั่นการทำงานของ “กองทัพ - ทหาร” มากกว่าการทำงานของ “นักการการเมือง”
ทั้ง “ขั้วรัฐบาล - ขั้วฝ่ายค้าน” ต่างโดนกระแสนิยม “กองทัพ” พุ่งโจมตี
“พรรคเพื่อไทย” ในฐานะแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ย่อมปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ แถมยังโดนแจ็คพ็อตจากวาทกรรม “สงครามสองตระกูล” เนื่องจาก “ตระกูลชินวัตร” และ “ตระกูลฮุน” มีความสนิทสนมแนบแน่นกันมาตลอด
แม้จะมาแตกหักจากปมปล่อยคลิปสนทนา “นายกฯแพทองธาร ชินวัตร” กับ “ฮุน เซน” แต่ภาพของการช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาก่อน ทำให้ฐานแฟนคลับ “เพื่อไทย - ตระกูลชินวัตร” ผิดหวังกับบทบาทของ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร
การลงพื้นที่ของ “ทักษิณ” ในจ.อุบลราชธานี 26 ก.ค. และ “แพทองธาร” จ.สุรินทร์ 27 ก.ค. ได้เห็นปรากฏการณ์ มีประชาชนเข้ามาแสดงความไม่พอใจการบริหารงานของ “ตระกูลชินวัตร” ถือเป็นสัญญาณลบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สะท้อนให้เห็นว่าความนิยมทางการเมืองของ “เพื่อไทย - ตระกูลชินวัตร” ในพื้นที่ภาคอีสานตกต่ำลงอย่างมาก ความเชื่อมั่น ความไว้ใจจากฐานเสียงภาคอีสานไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิม
“พรรคร่วมรัฐบาล” ทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา จัดอยู่ในพรรคอนุรักษนิยม แต่ปฏิบัติการครั้งนี้ ไม่ได้แต้มบวกเพิ่มขึ้นมา เนื่องจากแอ็กชั่นของ “เพื่อไทย - ตระกูลชินวัตร” ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลได้รับผลกระทบไปด้วย
“พรรคประชาชน” วาทกรรมของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 ที่เคยลั่นวาจา “ทหารมีไว้ทำไม” พร้อมกับเชื่อมโยงการตัดงบประมาณกระทรวงกลาโหม บวกกับวลี “มีเราไม่มีลุง มีลุงไม่มีเรา” ที่เคยปั่น “กระแสสีส้ม” ติดลมบน จนคว้าชัยในศึกเลือกตั้งที่ผ่านมา
ต้องยอมรับว่า วาทะของ “พิธา” และนโยบายของ “อดีตพรรคก้าวไกล” ในปี 2566 ได้แต้มการเมืองจากฐานแฟนคลับ สร้างความนิยมสูงลิบ ทว่าเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ฉากรบศึกไทย – กัมพูชา วาทกรรมของ “พิธา” กลับมาหลอกหลอน “พรรคประชาชน” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“พรรคภูมิใจไทย” แม้จะไม่ได้แต้มบวก แต่ก็ไม่มีแต้มลบ หลังออกจาก “พรรคร่วมรัฐบาล” แต่อย่าประมาทยี่ห้อ “ครูใหญ่” เนวิน ชิดชอบ ที่มักจะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้เสมอ
ที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยพยายามสร้างตัวตนให้เป็นพรรคการเมือง “เบอร์หนึ่งขั้วอนุรักษ์” ให้ได้ จึงต้องจับตายุทธศาสตร์ของ “เนวิน” ยิ่งในช่วงที่ “เพื่อไทย - ตระกูลชินวัตร” เสียงฐานการเมืองหลักในภาคอีสานทรุดหนัก อาจเปิดช่องให้ “พรรคภูมิใจไทย - เนวิน” รุกคืบ ชิงพื้นที่ไปได้
เมื่อผูกโยงศึกไทย - กัมพูชา เข้ากับการเมือง และการหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า บรรดาพรรคการเมืองอาจจะต้องหยิบนโยบาย “ความมั่นคง” ไปหาเสียง เพื่อโกยแต้ม นโยบายลดขนาด “กองทัพ” ลดงบประมาณซื้ออาวุธ อาจจะไม่ตอบโจทย์เหมือนครั้งที่ผ่านมา
สถานการณ์ไทย – กัมพูชา กำลังฟื้นพลัง “ขั้วอนุรักษ์” ให้กลับมามีกระแสบวกจากประชาชน และอาจส่งผลต่อแต้มการเมืองของ “ขั้วเสรีนิยม” ลดน้อยถอยลงได้







