เปิดคำชี้แจงไทย ต่อ UNSC ฟ้องประชาคมโลก 5 ข้อ ‘กัมพูชา’ ละเมิดทุกกฎ

โฆษกรัฐบาลเปิดคำชี้แจงไทยต่อ UNSC ฟ้องประชาคมโลก 5 ข้อ กัมพูชาโจมตีก่อน อย่างไม่เลือกเป้า ละเมิดกฎสหประชาชาติ เรียกร้องประชาคมโลกจี้ยุติการสู้รบ ไทยยังพร้อมเจรจาผ่านทวิภาคี
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC เตรียมจัดการประชุมฉุกเฉินในวันนี้ 25 กรกฎาคม 2568 ตามเวลาท้องถิ่น หรือราว 02.00 น.ของวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งการประชุมด่วนครั้งนี้ จะหารือถึงการปะทะกันระหว่าง ไทย-กัมพูชา ตามคำร้องขอของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งตามหนังสือของไทย ที่ชี้แจงต่อ UNSC
หลังเกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้ส่งหนังสือแจ้งข้อเท็จจริงไปยังคณะผู้แทนถาวร และคณะผู้สังเกตการณ์ถาวรประจำสหประชาชาติในนครนิวยอร์กทั้งหมด (Permanent Missions and Permanent Observer Missions to the United Nations in New York)เพื่อให้ทราบถึงสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย จากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศ และคณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก (Permanent Mission of Thailand to the United Nations) ได้ดำเนินการอย่างรอบคอบทุกขั้นตอน เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงต่อประชาคมระหว่างประเทศอย่างตรงไปตรงมา บนพื้นฐานของหลักฐานที่ตรวจสอบได้ ภายใต้กรอบของกฎหมายระหว่างประเทศ
เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่ฝ่ายกัมพูชาได้เลือกใช้กำลังทางทหารก่อนและยังเป็นการปฏิบัติที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรม เป็นเครื่องมือในการจัดการกับข้อพิพาท ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีของรัฐภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ ทั้งยังเป็นการบ่อนทำลายหลักการพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในภูมิภาค ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงและเสถียรภาพในอาเซียน
โดยล่าสุด คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้ส่งหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ ชายแดนไทย–กัมพูชา ให้คณะผู้แทนถาวร และคณะผู้สังเกตการณ์ถาวรประจำสหประชาชาติในนครนิวยอร์กทั้งหมด (Permanent Missions and Permanent Observer Missions to the United Nations in New York) ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 โดยมีเนื้อหาสาระสำคัญ ดังนี้
1. เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน
หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี ค.ศ. 2019 ในทางตรงกันข้าม รายงานล่าสุดของประเทศกัมพูชาบ่งชี้ว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2024 กัมพูชายังคงเก็บรักษาทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ไว้
2. เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 เวลา 08.20 น. ทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงใส่ฐานทหารไทยที่ตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นายโดยทันที หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพกัมพูชาได้เปิดการโจมตีดินแดนของประเทศไทยใน 4 จังหวัด โดยไม่เลือกเป้าหมาย ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี การกระทำที่ก้าวร้าว ไม่เลือกเป้า และขัดต่อกฎหมายต่อพลเรือนไทยเหล่านี้ ก่อให้เกิดภัยร้ายแรงและนำไปสู่การสูญเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์อย่างน่าเศร้า ซึ่งรวมถึงผู้หญิงและเด็ก โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน รวมถึงโรงพยาบาล และโรงเรียนได้รับความเสียหายอย่างมากเช่นกัน ณ เวลา 14.00 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 การโจมตีดังกล่าว ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 11 ราย และบาดเจ็บ 24 คน ในจำนวนนี้ 8 คนอาการสาหัส มีประชาชนมากกว่า 102,000 คน ได้รับการอพยพออกจากบ้านของตน
3. การโจมตีด้วยอาวุธอย่างต่อเนื่องโดยปราศจากการยั่วยุใด ๆ ของกองทัพกัมพูชา เป็นการละเมิดอย่างชัดเจนต่อมาตรา 2(4) ของ กฎบัตรสหประชาชาติ รวมถึงหลักการแห่งความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างรัฐ ประเทศไทยได้ใช้ความอดกลั้นและยับยั้งชั่งใจอย่างที่สุด ต่อการโจมตีด้วยอาวุธซึ่งมีการเตรียมการล่วงหน้าโดยกัมพูชา แต่ถูกบังคับให้ใช้สิทธิในการป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรการในการป้องกันตนเองที่ไทยดำเนินการอยู่ในขอบเขตจำกัดเท่าที่จำเป็น และเหมาะสมกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้น โดยพุ่งเป้าไปที่การขจัดภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นจากกองทัพกัมพูชาเท่านั้น
4. ประเทศไทยขอประณามอย่างรุนแรงต่อการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชาต่อ พลเรือน ทรัพย์สินของพลเรือน และสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาล ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 อย่างชัดเจน โดยเฉพาะมาตรา 18 แห่งอนุสัญญาเจนีวาฯ ฉบับที่หนึ่ง (ว่าด้วยการคุ้มครองผู้บาดเจ็บและเจ็บป่วย – การคุ้มครองโรงพยาบาล) และมาตรา 19 แห่งอนุสัญญาเจนีวาฯ ฉบับที่ 4 (ว่าด้วยการคุ้มครองหน่วยงานและสถานพยาบาล) การกระทำอันไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ได้ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานและความยากลำบากแก่พลเรือนผู้บริสุทธิ์
5. ประเทศไทยยังคงยึดมั่นอย่างแน่วแน่ในหลักการยุติข้อพิพาทโดยสันติวิธี และปฏิเสธอย่างเด็ดขาดต่อการใช้กำลังในการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ ประเทศไทยขอเรียกร้องประชาคมระหว่างประเทศในการเรียกร้องให้กัมพูชายุติการใช้การสู้รบโดยทันที และกลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาอย่างสุจริตใจ ประเทศไทยขอยืนยันอีกครั้งถึงความพร้อมในการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้ว รวมถึงคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ซึ่งมีกำหนดการประชุมในช่วงต้นเดือนกันยายน ค.ศ. 2025 เพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งที่ยังคงค้างอยู่
เมื่อพิจารณาถึงความร้ายแรงของสถานการณ์และการกระทำที่ก้าวร้าวอันโจ่งแจ้งของกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ อย่างร้ายแรง ผมขอแจ้งให้ทราบถึงการกระทำอันก้าวร้าวของกัมพูชา และขอความกรุณาให้เผยแพร่หนังสือนี้ไปยังสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกท่านให้รับทราบโดยเร็วที่สุด และนำเข้าสู่ระบบเอกสารของคณะมนตรีความมั่นคงฯ
“รัฐบาลไทยขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น รวมถึงสนับสนุนความพยายามของประเทศไทยในการรักษาสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งแม้ในขณะที่ประเทศไทยได้แสดงวุฒิภาวะของประเทศที่ยึดมั่นตามหลักกฎหมายและความรับผิดชอบ ฝ่ายกัมพูชากลับเลือกแนวทางที่บ่อนทำลายเสถียรภาพของภูมิภาค โดยเฉพาะการคร่าชีวิตพลเมืองผู้บริสุทธิ์ และทำลายความไว้วางใจจากนานาชาติ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ละเมิดพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่ห่างไกลจากหลักการแห่งสันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศ” นายจิรายุ กล่าว







