เปิดสมรภูมิรบ ‘ไทย-กัมพูชา’ ปักหมุดยึดคืนพื้นที่ยุทธศาสตร์

หลักการสู้รบ ต้องบุกยึดพื้นที่ยุทธศาสตร์ ทำลายแนวรบ และปฏิบัติการให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหายมากที่สุด เพื่อให้หลาบจำ เช่นเดียวปี 2554 กัมพูชาไม่กล้าหืออือ กับกองทัพไทยมากว่า 10 ปี
KEY
POINTS
- กองทัพบกใช้แผนจักรพงษ์ภูวนารถควบคู่เปิดปฏิบัติการยุทธบดินทร์ทางบก-อากาศ
- ทหารไทยปกป้องจุดยุทธศาสตร์ ผลักดันทหารกัมพูชาออกนอกพื้นที่
เปิดฉากปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มต้นเช้าวันที่ 24 ก.ค.2568 จุดแรกเริ่ม “ปราสาทตาเมือนธม” จ.สุรินทร์ หลังทหารนำลวดหนามหีบเพลงปิดล้อมทางขึ้นตลอดแนว ทหารกัมพูชา ลากอาวุธหนัก เช่น อาร์พีจี พร้อมใช้โดรนบินขึ้นเหนือตัวปราสาท
ปราสาทตาเมือนธม เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์เดียวของไทย ที่กัมพูชา ไม่สามารถขึ้นมาวางกำลังคู่กับทหารไทย ส่วนพื้นที่สำคัญ ปราสาทตาควาย ภูมะเขือ ผามออีแดง ช่องบก ทหารกัมพูชา ขึ้นมาวางกองกำลังเผชิญหน้ากับทหารไทยหลังการสู้รบปี 2554
ปัจจุบันการปะทะดำเนินอยู่ต่อเนื่อง ทหารกัมพูชาโจมตี ทหารไทยวางกำลัง แต่ยังสามารถปกป้องพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมไว้ได้ทั้งหมด โดยมีกำลังพลบาดเจ็บบางส่วน
สำหรับ ประสาทตาควาย ทหารไทยโจมตีทหารกัมพูชา โดยวางกำลังในพื้นที่ระลอกสอง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างปกป้องพื้นที่ตัวเอง และพยายามใช้จังหวะ โอกาสรุกคืบ ให้อีกฝ่ายถอยร่นออกจากพื้นที่
จุดยุทธศาสตร์สำคัญอีกจุดหนึ่ง ซึ่งเคยมีการปะทะรุนแรงมาแล้วเมื่อปี 2554 คือ “ภูมะเขือ” ที่ฝ่ายไทยเรียกว่า “พลาญอินทรี” ขณะที่กัมพูชาเรียกว่า “ลานอินทร์” ซึ่งอยู่ห่างปราสาทพระวิหารประมาณ 4 กิโลเมตร
การปะทะ วานนี้ (24 ก.ค.68) ทหารไทยใช้ปืนใหญ่ตอบโต้ทหารกัมพูชาที่เคลื่อนกำลังมาทางถนน และบันได เป้าหมายทำลายทหารกัมพูชาจำนวน 2 กองพัน ให้สิ้นซาก ให้พ้นจะงอยภูมะเขือ และทำลายบันไดกระเช้าได้บางส่วน ที่สร้างขึ้นผิดเอ็มโอยู2543 โดยฝ่ายไทยทำหนังสือประท้วงแต่กัมพูชาเมินเฉย
ยุทธศาสตร์ช่องบก จ.อุบลราชธานี นับเป็นพื้นที่สู้รบดุเดือดปี 2554 เนื่องจากภูมิประเทศเอื้ออำนวย รบได้ง่ายกว่าพื้นที่อื่น
โดยปัจจุบันทหารไทยกับทหารกัมพูชา ต่างฝ่ายต่างตรึงกำลังเผชิญหน้า
พื้นที่ช่องบก ที่กัมพูชานำไปประกบกับ 3 ปราสาทตาเมือนธม ตาควาย ตาเมือนโต๊ด ยื่นเรื่องให้ศาลโลกพิจารณา และเป็นพื้นที่เดียวกันกับที่ทหารเหยียบทุ่นระเบิดถูกกัมพูชาวางใหม่ บาดเจ็บ 3 นาย
ขณะที่ทหารไทยอยู่ระหว่างเก็บกู้ทุ่นระเบิดช่องบก และทำถนน และเตรียมตั้งฐานทหาร ลากยาวไปยังพื้นที่รวงผึ้ง ซึ่งเป็นต้นน้ำจังหวัดอุบลราชธานี นอกจากนี้ มีพื้นที่อุทยานภูจอง-นายอย และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม โดยกัมพูชาหวังแย่งชิงพื้นที่ดังกล่าว
พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ใช้แผนจักรพงษ์ภูวนารถ แม้จะเป็นแผนเดียวกันที่ใช้การสู้รบปี 2554 แต่ได้มีการปรับกลยุทธ์ ยุทธวิธี ให้เหมาะสมสถานการณ์ ระดับความขัดแย้ง และขั้นตอนการใช้กำลังทหาร ตอบโต้สมควรแก่เหตุ
ควบคู่เปิดปฏิบัติการ “ยุทธบดินทร์” Operation “Yuttha Bodin” ทั้งทางบก และอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 6 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายที่ตั้งกำลังกัมพูชา ช่องอานม้า และจุดตรวจการณ์ภูผี ตรงข้ามปราสาทโดนตวล ช่องตาเฒ่า
ส่วนบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ติดเขาพระวิหาร ทหารไทย ได้ใช้รถถังระดมยิง ส่งทหารราบเข้ายึดพื้นที่คืนจากทหารกัมพูชาที่ยึดไปเมื่อปี 2554 รวมถึงใช้รถถังเข้าตียึดพื้นที่ซำแต อ.กันทรลักษ์ ได้สำเร็จ
ทั้งไทย-กัมพูชา หวังเผด็จศึกให้เร็วที่สุดเพื่อลดความสูญเสีย โดยฝ่ายไทยประชาชนเสียชีวิตแล้ว 9 ราย บาดเจ็บกว่า 10 ราย นอกจากนี้มีทหารไทยได้รับบาดเจ็บแต่ตัวเลขไม่เป็นทางการ
ส่วนกัมพูชาถูก F-16 กองทัพอากาศไทย ถล่ม บก.พล.น้อย ส่วนสนับสนุนที่ 8 และกองพลน้อย ส่วนสนับสนุนที่ 9 ร่วมถึงเป้าหมายทหารกัมพูชาวางกำลังทิศใต้ปราสาทตาเมือนธม จากรายงานข่าว มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย
โดยก่อนหน้านี้ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เคยระบุ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจะยุติหลังเกษียณอายุราชการ 30 ก.ย. และหากมีการปะทะ จะดำเนินการให้จบภายใน 3 วัน
สอดคล้องกัน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ของวันที่ 24 ก.ค. ตรงตามเป้าหมาย และเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ประเมินว่าอาจต้องใช้เวลาอีกระยะ แต่ยังบอกไม่ได้ว่ากี่วัน แต่ปรารถนาอยากให้จบลงรวดเร็วและสั้นที่สุด
“ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทย และรัฐบาลกัมพูชา ต้องหาช่องทางเจรจาโดยใช้แนวทางสันติวิธี เพราะประชาชนทั้งสองประเทศไม่ควรต้องมาขัดแย้ง และได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้” พล.ต.วินธัย กล่าว
ทั้งนี้ หลักการสู้รบ หากต้องโจมตีข้าศึก ต้องปฏิบัติการให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับความเสียหายมากที่สุด เพื่อให้เกิดความหลาบจำ
เช่นเดียวกับการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา ปี 2554 ที่กองทัพกัมพูชาเสียหายยับเยิน และไม่กล้าหืออือกับกองทัพไทยมากว่า 10 ปี
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







