ใครเป็นใคร? พลิกข้อมูล 3 นักการเมือง ปม ‘วุฒิการศึกษาปลอม’

พลิกข้อมูล 3 นักการเมืองไทย พัวพันข้อครหา "วุฒิการศึกษา" จนเคยถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งมาแล้ว กกต. มีมติให้ดำเนินคดีอาญากับ สว. เกศกมล เปลี่ยนสมัย
KEY
POINTS
- พลิกข้อมูล 3 นักการเมืองไทย พัวพันข้อครหา "วุฒิการศึกษา" จนเคยถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งมาแล้ว
- กกต. มีมติให้ดำเนินคดีอาญากับ สว. เกศกมล เปลี่ยนสมัย กรณีใช้คำนำหน้า "ศาสตราจารย์" โดยมิชอบในการสมัคร สว. เพื่อจูงใจผู้ลงคะแนน แต่ยกคำร้องเรื่องวุฒิปริญญาเอก
- การุณ โหสกุล อดีต สส. เคยถูกศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากใช้วุฒิการศึกษาระดับ ปวส. ที่เป็นเท็จในการสมัครเรียนต่อระดับปริญญาตรี
- ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส. ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากใช้เอกสารที่คาดว่าเป็นของปลอมในการเทียบโอนหน่วยกิตเพื่อศึกษาต่อจนจบปริญญาตรี
เก้าอี้สภาฯ สูงส่อแววลดลงไปอีก 1 ตำแหน่ง พลันที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้ดำเนินคดีทางอาญาแก่ “หมอเกศ” เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว.ปี 2567 กรณีถูกกล่าวหาว่า หลอกลวง หรือจูงใจให้บุคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัคร หรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง ซึ่งเป็นการทุจริตในการเลือก และทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม
อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือก สว. 2561 มาตรา 77 (4) ในประเด็นของการอ้างใช้คำนำหน้าเป็น “ศาสตราจารย์” แต่มีมติ “ยกคำร้อง” กรณีกล่าวหาว่าจบปริญญาเอกจาก California University เนื่องจากมหาวิทยาลัยดังกล่าวมีอยู่จริง และได้รับการการันตีจากกระทรวงศึกษาธิการ สหรัฐอเมริกา
ประเด็นที่น่าสนใจเรื่องนี้ “หมอเกศ” นับเป็น สว.อีกคนที่มี “บาดแผล” ค่อนข้างเยอะ นับตั้งแต่เข้ามาดำรงตำแหน่ง โดยถูกสารพัด “นักร้อง” ยื่นคำร้องขอให้ กกต.ไต่สวนกรณีกล่าวหา “หลอกลวง” คุณสมบัติของตัวเอง จูงใจให้ผู้อื่นมาลงคะแนนเพื่อให้ได้เป็น สว.
ตามคำร้องของ กกต.ที่ปรากฏล่าสุดนั้น ระบุว่ามีถึง 6 กรณี และอีก 3 คำร้องย่อยใน 1 สำนวนเดียว โดยส่วนใหญ่คือ กรณีกล่าวหาเรื่องหลอกลวงคุณสมบัติในการสมัคร สว. เช่น การใช้คำนำหน้าชื่อว่า “ศาสตราจารย์” กรณีการเรียนจบ “ด็อกเตอร์” ปริญญาเอกจาก California University, U.S.A. การเปิดคลินิกเสริมความงาม รวมถึงการสวมชุดครุยวิทยฐานะในการจบมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เป็นต้น
ทว่า กกต.ได้ยกคำร้องแทบทั้งหมด เหลือแค่กรณีการใช้คำนำหน้าว่า “ศาสตราจารย์” โดยข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนรับฟังได้ว่า “หมอเกศ” สมัคร สว.ในกลุ่ม 19 โดยระบุในข้อมูลแนะนำตัวผู้สมัคร (สว.3) ในส่วนประวัติการศึกษาว่า ปริญญาเอก รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Doctor of Political Science) California University, U.S.A. และศาสตราจารย์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Professor in Human Resource Development) California University
และระบุประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ทำงานในกลุ่มที่สมัครว่า ศาสตราจารย์ จึงต้องพิจารณาเป็น 2 กรณีว่า การที่ผู้ถูกร้องแนะนำตัวในการเลือก สว.ในส่วนของประวัติการศึกษาว่าจบปริญญาเอก และการแนะนำตัวมีคำนำหน้าว่า ศาสตราจารย์ เป็นการหลอกลวง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง อันฝ่าฝืน พ.ร.ป.เลือก สว. 2561 มาตรา 77 (4) หรือไม่
กรณีวุฒิการศึกษาปริญญาเอกนั้น แม้ว่า California University FCE ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐอเมริกา แต่ยังไม่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนของไทย (ก.พ.) เนื่องจากยังไม่มีบุคคลใดหรือองค์กรใดนำวุฒิการศึกษาจากมหาวิทยาลัยดังกล่าวไปยื่น เพื่อเทียบวุฒิต่อ ก.พ.เพื่อเข้ารับราชการ อีกทั้งไม่ปรากฎพยานหลักฐานอื่นที่ยืนยันได้ว่า กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา จึงน่าเชื่อว่าการที่ผู้ถูกร้องแนะนำตัวในส่วนของประวัติการศึกษาว่า ปริญญาเอกมหาวิทยาลัยดังกล่าว ยังไม่เป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้ผู้อื่นเข้าใจผิด ในชั้นนี้ข้อเท็จจริงจึงยังรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกร้องกระทำผิดตามคำร้อง
ส่วนกรณี “ศาสตราจารย์” นั้น จากการไต่สวนข้อเท็จจริงว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) การกำหนดคุณสมบัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ ต้องเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการการข้าราชการพลเรือนในสถาบันการอุดมศึกษา เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) รองศาสตราจารย์ (รศ.) และศาสตราจารย์ (ศ.) 2564 และระเบียบคณะกรรมการการอุดมศึกษาที่เกี่ยวข้อง
จากการตรวจสอบข้อมูลของผู้ถูกร้อง ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกร้องไม่มีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของผู้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ที่คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันการอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) และคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กำหนด ประกอบกับไม่ปรากฏหลักฐานว่า มีสถาบันอุดมศึกษาใดเคยขอให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ พิจารณาดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบุคคลดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์
จากการตรวจสอบข้อมูลปรากฏว่า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ยังไม่เคยพิจารณาเทียบวุฒิการศึกษาจาก California University และ California Unviersity FCE ประกอบกับผู้ถูกร้องก็ให้ถ้อยคำว่า ไม่เคยทำงานในตำแหน่งศาสตราจารย์ ข้อเท็จจริงจึงเป็นที่ยุติว่า ผู้ถูกร้องมิได้มีตำแหน่งทางวิชาการศาสตราจารย์ ตามหลักการและขั้นตอนที่กำหนดไว้ในกฎหมายดังกล่าวข้างต้นของไทย
ดังนั้นการที่ผู้ถูกร้องแนะนำตัวในการเลือก สว.ว่าเป็น “ศาสตราจารย์” โดยที่มิเคยดำรงตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ตามกฎหมายของไทย จึงเป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัคร หรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง ซึ่งเป็นการทุจริตในการเลือก และทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือก สว. 2561 มาตรา 77 (4)
จึงมีคำสั่งในประเด็นกรณีศาสตราจารย์ ให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา เพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ น.ส.เกศกมล เปลี่ยนสมัย ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. 2561 มาตรา 62 และรัฐธรรมนูญ มาตรา 226 และให้ดำเนินคดีอาญาแก่ น.ส.เกศกมล ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. 2561 มาตรา 77 (4)
อย่างไรก็ดี “หมอเกศ” ยังต้องเผชิญวิบากกรรมอีกอย่างน้อย 1 กรณี เนื่องจากตกเป็น 1 ในผู้ถูกกล่าวหา “คดีฮั้ว สว.” ที่อยู่ในช่วง “โค้งสุดท้าย” ภายหลังคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง คณะที่ 26 ชงเรื่องเสนอที่ประชุม กกต.ชุดใหญ่ ให้พิจารณาดำเนินคดี 229 บุคคลที่เกี่ยวข้องในขบวนการ แบ่งเป็น 138 สว. ส่วนที่เหลือคือ “บิ๊กเนมนักการเมือง” โดยเฉพาะ “ค่ายน้ำเงิน” ส่วนคดีอั้งยี่-ฟอกเงินจากการฮั้ว สว.ที่อยู่ระหว่างการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าปรากฏชื่อ “หมอเกศ” ตกเป็น 1 ในผู้ถูกกล่าวหาหรือไม่
ประเด็นที่น่าสนใจ กรณีของ “หมอเกศ” นั้น ที่ผ่านมาเคยเกิดเรื่องร้องเรียนกล่าวหาประเด็น “คุณสมบัติ” ในเรื่องส่วนตัว เช่น วุฒิการศึกษา ชาติกำเนิด มาแล้วหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่มัก “พ้นบ่วง” ไปได้แทบทุกราย แต่มีอย่างน้อย 2 คนที่เคยต้องชะตากรรมคล้าย ๆ กับ “หมอเกศ” มาแล้ว ได้แก่
1.การุณ โหสกุล หรือ “เก่ง” อดีต สส.ดอนเมือง กทม. นักการเมือง “ค่ายแดง” ปัจจุบันสังกัดพรรคกล้าธรรม โดยเมื่อปี 2548 เขาเคยถูกศาลฎีกา มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง สส. เนื่องจากถูกกล่าวหาวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ของเขาถูกถอดถอน เนื่องจาก “เก่ง การุณ” ใช้วุฒิการศึกษาจบ ปวส.อันเป็นเท็จ ในการสมัครเรียนปริญญาตรี ดังนั้นแม้จะมีวุฒิปริญญาโทแล้ว แต่ถือว่าขาดคุณสมบัติไปตามกัน อย่างไรก็ดีด้วยรัฐธรรมนูญปี 2550 ไม่กำหนดคุณสมบัติการศึกษาขั้นต่อของ สส.ทำให้ “เก่ง การุณ” ไม่ตกเก้าอี้ และมีคุณสมบัติเป็น สส.ต่อไป
2.ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส. 4 สมัย พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เมื่อครั้งสมัคร สส.นครนายก ถูกศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้พ้นสมาชิกภาพ สส. เนื่องจากถูกร้องเรียนว่าขาดคุณสมบัติเรื่องวุฒิการศึกษา ซึ่งเป็นประเด็นเชิงเทคนิค กล่าวคือ “ชาญชัย” นำวุฒิการศึกษาที่มีปัญหา มาเทียบโอนหน่วยกิต และเรียนต่อในมหาวิทยาลัยศรีปทุมจนจบปริญญาตรี โดยจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกระทรวงศึกษาธิการ พบว่า เอกสารที่ชาญชัยนำมาเทียบโอนหน่วยกิตดังกล่าว น่าจะเป็นเอกสารปลอม ทำให้ไม่สามารถสมัครรับเลือกตั้ง สส.ได้
กระทรวงศึกษาธิการมีความเห็นว่า รบ. ปวท. ชุดที่ 1554 เลขที่ สชก 012430 ที่นายชาญชัย ฯ นำไปสมัครขอเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม น่าจะเป็นเอกสารปลอม การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายชาญชัย ฯ ไม่น่าจะกระทำได้
ส่วนกรณีคล้ายคลึงกัน เช่น “มังกรเติ้ง” บรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกฯคนที่ 21 เคยถูกซักฟอกกรณีกล่าวหาว่า “ลอกวิทยานิพนธ์” มหาวิทยาลัยรามคำแหง อย่างไรก็ดีพยานหลักฐานและข้อมูลดังกล่าว มีน้อยเกินไป และไม่มีการยื่นเรื่องให้หน่วยงานรัฐตรวจสอบ และเรื่องนี้เป็นเรื่องการต่อสู้ทางการเมืองมากกว่าจะเอาผิดจริง ทำให้บรรหารหลุดรอดเรื่องนี้ไปด้วยเล่ห์กลทางการเมืองในการ “ยุบสภา”
ทั้งหมดคือข้อมูลเท่าที่พอจะสืบค้นได้ขณะนี้ เกี่ยวกับเงื่อนปมปัญหา “วุฒิการศึกษา” ของบุคคลที่เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับชาติ ส่วนจะมีกรณีอื่นอีกหรือไม่ ต้องรอติดตาม







