‘ไทย’ จ่อเชิญ ผช.ทูตทหาร แจงปม ทุ่นระเบิดใหม่ สั่ง ทหารพราน ดูแล นทท.

‘ไทย’ จ่อเชิญ ผช.ทูตทหาร แจงปม ทุ่นระเบิดใหม่ สั่ง ทหารพราน ดูแล นทท.

“ศบ.ทก.” ชี้ ไทยโดนรุกล้ำอธิปไตย พบ ลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ เส้นทางลาดตระเวนปกติ เผย “กองทัพ” จ่อเชิญผู้ช่วยทูตทหาร-ผู้แทนกองทัพนานาชาติ ฟังข้อเท็จจริง สั่ง เพิ่มกำลังทหารพรานหญิง ดูแลนทท.ปราสาทตาเมือนธม

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงผลการประชุมศบ.ทก. เมื่อช่วงเช้า ว่า ผลการพิสูจน์ทราบทุ่นระเบิด หลังกรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิด ซึ่งเป็นพื้นที่อธิปไตยของไทย โดยการพิสูจน์ทราบจุดเกิดเหตุ ห่างจากเส้นปฏิบัติการ130เมตร จุดวางทุ่นระเบิดอยู่บนเส้นทางลาดตระเวนของทหารไทยตามปกติ   

ทั้งนี้ หน่วยพบว่าหลุมระเบิดกว้าง69ซม. ลึก 23 ซม. ชุดพิสูจน์ทราบพบเศษวัสดุระเบิด ชนิด PMN2 และพบทุ่นชนิดเดียวกันเพิ่มอีก 2 จุด จุดแรกห่างจากต้นพระยาสัตบรรณ 50เมตร ใกล้คูเลตที่ทหารกัมพูชาเคยขุดไว้ จนกลายเป็นข้อพิพาทระหว่างกัน ตรงนั้นตรวจสอบ3ทุ่น และจุดที่2 พบเพิ่มอีก5ทุ่น ห่างจากจุดแรกประมาณ 100 เมตร รวมทั้งหมดในการพิสูจน์ทราบ เจอ7ทุ่น ยืนยันเป็นระเบิดชนิด PMN2 มีสภาพใหม่พร้อมทำงาน ปรากฎตัวอักษรชัดเจนบริเวณข้างตัวทุ่นระเบิด โดยทุ่นระเบิดชนิดนี้ประเทศไทยและกองทัพไทยไม่เคยมีในสารบบยุทธโธปกรณ์ 

นอกจากนั้น หลักฐานที่ชัดอีกอย่างว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่คือสภาพของจุดที่วางทุ่นระเบิดนั้น ยังไม่มีวัชพืช หรือรากไม้ใดๆ ขึ้นปกคลุม ซึ่งบอกได้ว่าเป็นพื้นที่ใหม่ ไม่มีหญ้าใดๆปกคลุม และพบร่องรอยขุดวางทุ่นระเบิดด้วย คาดว่าเป็นการวางหลังเกิดเหตุการณ์ปะทะกันเมื่อวันที่ 28พ.ค.ที่ผ่านมา     

โดยเมื่อ20ก.ค.ที่ผ่านมา ตรวจพบเพิ่มทุ่นระเบิดอีก2จุด ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันบริเวณพื้นที่ที่ห่างจากหลุมระเบิดที่ทหารไทยเหยียบ ประมาณ 20-30 ซม. ชี้ชัดว่ามีการวางใหม่เพิ่มเติมอีก เป้าหมายเพื่อสังหารบุคคลและละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน รวมถึงการรุกล้ำอธิปไตยของไทย จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทางกองทัพได้ยกระดับมาตรการที่เข้มข้นขึ้น หน่วยในพื้นที่ได้รับคำสั่งให้ระมัดระวังในการลาดตระเวนในพื้นที่ และเตรียมความพร้อมสูงขึ้นตามหลักปฏิบัติการใช้กำลังของกองทัพ ในระดับส่วนกลาง กองทัพไทย โดยศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ได้ออกหนังสือประณามการกระทำดังกล่าวอย่างชัดเจนเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 20ก.ค.ที่ผ่านมา จะยังคงติดตามและมีมาตรการเพิ่มเติม 

“กองทัพมีวาระที่จะเชิญผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร รวมถึงผู้แทนกองทัพประเทศต่างๆ มารับฟังคำชี้แจงเพื่อรับทราบข้อเท็จจริงในเร็วๆ นี้ ซึ่งรายละเอียดต่างๆของการประท้วง หรือมาตรการในเชิงนานาชาติ ทางฝ่ายต่างประเทศจะเป็นผู้ชี้แจงเพิ่มเติม”  

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวอีกว่า กรณีปราสาทตาเมือนธม ที่เกิดเหตุการณ์เมื่อ 15ก.ค.ที่ผ่านมา ไทยและกัมพูชาได้ร่วมหารือถึงมาตรการจัดการ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งระหว่างนักท่องเที่ยวทั้ง2ประเทศ มีการกำหนดมาตรการดังนี้ 

1.หากมีปัญหาจากนักท่องเที่ยวเกิดขึ้นไม่ว่าจากชาติใด จะให้เจ้าหน้าที่หรือชุดประสานงานของชาตินั้นเป็นผู้จัดการ โดยจะเชิญตัวออกจากพื้นที่ 

2.กรณีแก้ไขปัญหาในพื้นที่ให้ชุดประสานงานให้เป็นผู้ดำเนินการแก้ไข ไม่มีการเรียกกำลังเสริมหรือชุดอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องมาเพิ่มเติม เพื่อป้องกันการเผชิญหน้า 

3.ขอให้ทั้ง2ฝ่าย คัดกรองนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นมาเยี่ยมชมปราสาท ยืนยัน 3มาตรการมีผลบังคับใช้แล้ว 2ฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันในการดำเนินการร่วมกัน 

นอกจากนั้น ฝ่ายไทยได้กำหนดมาตรการเพิ่มเติม ดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว จัดชุดอาสาสมัครทหารพรานหญิงมาอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม เราเป็นห่วงนักท่องเที่ยวไทยที่มาเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม 

ขณะที่นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เพื่อรักษาท่าทีและผลประโยชน์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการ โดยกระทรวงการต่างประเทศ จะประท้วงอย่างเป็นทางการเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังกัมพูชา เนื่องจากละเมิดอธิปไตย หลักกฎหมายระหว่างประเทศและมนุษยธรรม และพันธะกรณีตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บถึงขั้นทุพพลภาพ 

กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการตามกระบวนการของอนุสัญญาออสตาวา ตามพันธะกรณีของไทย ที่เป็นรัฐภาคีที่มีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศ ที่จะต้องแจ้งการละเมิดอนุสัญญาต่อประธานการประชุมรัฐภาคี ซึ่งปัจจุบันประธานที่อยู่ในวาระคือ ญี่ปุ่น เพื่อนำไปสู่การรับผิดชอบโดยกัมพูชา

กระทรวงการต่างประเทศจะเดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ให้มิตรประเทศและองค์การต่างๆ รับทราบ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีมีบทบาทสำคัญต่อภารกิจด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของกัมพูชา เช่นญี่ปุ่น นอร์เวย์ รวมถึงองค์การต่างๆ ที่มีบทบาทในเวทีอนุสัญญาออสตาวา และจะมีการจัดการบรรยายสรุปชี้แจงให้คณะทูตประจำประเทศไทยได้รับทราบ และในช่วงสัปดาห์นี้ รมว.ต่างประเทศ ที่อยู่ระหว่างการเดินทางเข้าร่วมการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก จะได้พบหารือกับผู้แทนระดับสูงจากประเทศต่างๆ จะใช้โอกาสนี้ยืนยันจุดยืนของไทยต่อประชาคมโลก โดยเฉพาะหลักการของไทยที่มุ่งเน้นการแก้ไขแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี การเจรจาภายใต้กรอบทวิภาคี ดังที่แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศที่ระบุไว้แล้ว ไทยขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ตามแนวชายแดน ตามที่นายกฯของทั้งสองประเทศได้ตกลงกันไว้แล้วภายในกรอบทวิภาคี ทั้งนี้ เพื่อความมั่นคงและปลอดภัยของพื้นที่ และของประชาชนทั้งสองฝ่าย