มุมมอง 'นักวิชาการ' สะท้อน แพทองธาร 60% ไม่รอด คดี 'คลิปเสียง'

มุมมอง 'นักวิชาการ' สะท้อน แพทองธาร 60% ไม่รอด  คดี 'คลิปเสียง'

สัมภาษณ์พิเศษ : อ.มุนินทร์ พงศาปาน นิติศาสตร์ มธ. พร้อม ถอดรหัส “ศาลรธน.” เครื่องมือทำลายล้าง “ประชาธิปไตย” ประเมิน “แพทองธาร” ไม่รอด คดี “คลิปเสียง”

KEY

POINTS

  • นักวิชาการด้านนิติศาสตร์มองว่า การทำหน้าที่ของ ศาลรัฐธรรมนูญ ตลอด27 ปีที่ผ่านมา มีบทบาทโดดเด่น คือ  ทำลายล้าง "พรรคการเมือง" ที่ส่งผลกระทบต่อระบอบประชาธิปไตย
  • เหตุสำคัญ คือ การเขียนให้ใช้ดุลยพินิจ ที่วินิจฉัยในบางประเด็นที่ไร้กรอบจำกัดเรื่องของ "คำนิยาม" เช่น จริยธรรม
  • การตีความกฎหมายด้านจริยธรรมที่คลุมเครือและกว้างขวาง ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถชี้ขาดทิศทางการเมืองไทยได้
  • ล่าสุดในคดี  แพทองธาร ชินวัตร ที่ถูกตรวจสอบ กรณีคลิปเสียง กับผู้นำกัมพูชา
  • ดร.มุนินทร์ มองว่า "แพทองธาร" มีโอกาสรอด เพียง 40% ต่ำกว่า โอกาสไม่รอด ที่ประเมินที่ 60% โดยอิงจากสถิติในอดีตที่นักการเมืองมักไม่รอดในคดีเกี่ยวกับจริยธรรม
  • หากนายกรัฐมนตรีถูกตัดสินว่าผิด จะส่งผลให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งหมด การบริหารประเทศหยุดชะงัก และอาจนำไปสู่วิกฤตการเมืองรอบใหม่

ศาลรัฐธรรมนูญของ ไทย มีวาระครบรอบ 27 ปี เมื่อ เม.ย. 68 ที่ผ่านมา ซึ่งตลอดช่วงเวลาที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ทำหน้าที่ ล้วนถูกตั้ง “คำถาม”  จากสังคม โดยเฉพาะยุคปัจจุบัน ที่ถูกวิพากษ์อย่างมากว่า เป็น “ศาลการเมือง” ที่มีอำนาจเหนือ  “ฝ่ายบริหาร-ฝ่ายนิติบัญญัติ” และแปรสภาพจาก “สถาบันพิทักษ์รัฐธรรมนูญ และสิทธิเสรีภาพของประชาชน” ไปเป็น องค์กรที่สามารถชี้ทางเปลี่ยนทิศของขั้วการเมืองไทยได้  

ต่อประเด็นนี้ ในมุมมองของ “มุนินทร์ พงศาปาน” นักวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า บทบาทและหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ต่อ “การเมือง” ปัจจุบัน เทียบเท่ากับเป็นอาวุธที่มีอนุภาพทำลายล้างสูง คล้ายกับ “ระเบิดปรมาณู” ที่เป็นอันตรายกับระบบประชาธิปไตย เพราะนับตั้งแต่การมีอยู่ของศาลรัฐธรรมนูญ ในรัฐธรรมนูญ ฉบับแรก คือ รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 เรื่อยมา ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และ รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 พบว่า ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจยุบพรรคการเมือง และตัดสิทธินักการเมือง รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งจำนวนมาก

ตามสถิติของศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่การก่อตั้ง มา 27 ปี พบว่ามีการยุบพรรค รวม 107 พรรคการเมือง ทั้งที่ทำผิดกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง  เช่น ไม่ส่งเอกสารการเงิน ไม่จัดตั้งตัวแทนจังหวัด และที่เป็นกรณีใหญ่  ที่มีผลต่อการเปลี่ยนขั้ว-เปลี่ยนทิศ ของ ทางการเมืองไทย ได้แก่  การยุบพรรคไทยรักไทย เมื่อปี2550 พร้อมตัดสิทธิกรรมการบริหาร 111 คน  พรรคพลังประชาชน เมื่อปี 2551 ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 37 คน 

ในปีเดียวกันนั้น ยังยุบพรรคพรรคชาติไทย ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค  43 คน และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค  29 คน 

มุมมอง 'นักวิชาการ' สะท้อน แพทองธาร 60% ไม่รอด  คดี 'คลิปเสียง' ต่อมายุบพรรคไทยรักษาชาติ  เมื่อปี 2562 และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 12 คน ยุบพรรคอนาคตใหม่ ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 16 คน ในปี 2563 และ ยุบพรรคก้าวไกล ในปี 2567 ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 11 คน

กับการทำลายล้างพรรคการเมือง ฐานะสถาบันทางการเมือง และ ตัดสิทธิ "นักการเมือง" ห้ามยุ่งเกี่ยวใดๆ ในทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปีนั้น “ดร.มุนินทร์” สะท้อนด้วยว่า ในภาพรวมศาลรัฐธรรมนูญอาจถูกหยิบยกมาใช้กับนักการเมืองหรือ พรรคการเมือง ไหนก็ได้  ไม่ว่าพรรคนั้นหรือ คนๆ นั้นจะอยู่ในอำนาจหรือไม่ก็ตาม

สำหรับคอนเซ็ปของการก่อตั้งศาลรัฐธรรมนูญ ที่บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ  ตั้งแต่ รัฐธรมนูญ พ.ศ.2540 นั้น ออกแบบเพื่อให้เป็นองค์กรคุ้มครองรัฐธรรมนูญฐานะกฎหมายสูงสุด และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทว่าในห้วงระยะเวลา 27 ปีที่ผ่านมา พบว่า คอนเซ็ปที่ออกแบบไว้โดยเจตนาดีนั้น ถูกขยายผลไปในทางทำลายล้างทางการเมือง ได้อย่างไร?

มุมมอง 'นักวิชาการ' สะท้อน แพทองธาร 60% ไม่รอด  คดี 'คลิปเสียง'

ต่อเรื่องนี้ ดร.มุนินทร์ อธิบายความไว้ว่า สำหรับโมเดลที่เป็นแบบของศาลรัฐธรรมนูญของไทย คือ จากประเทศเยอรมนี เพื่อเป็นกลไกคุ้มครองรัฐธรรมนูญ แต่หากเทียบกับประเทศอื่นๆ นั้น พบว่าบางประเทศไม่ได้ตั้งศาลเฉพาะเพื่อมาคุ้มครองรัฐธรรมนูญ และใช้กระบวนการของศาลยุติธรรมปกติพิจารณาเมื่อเกิดปัญหา  เช่น ประเทศ อังกฤษ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น   โดยการทำหน้าที่นั้นจะไม่แทรกแซงหรือก้าวก่ายกัน เพียงแค่ส่งสัญญาณเท่านั้น 

“อย่างประเทศอังกฤษ หรือ ญี่ปุ่น หากพบว่ารัฐสภาทำกฎหมายที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ หรือ ละเมิดสิทธิเสรีภาของประชาชน จะส่งสัญญาณไปยังฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น ส่วนการแก้ไขหรือไม่เป็นเรื่องของ “ฝ่ายนิติบัญญัติ” ที่ต้องหาวิธีการเอง  ซึ่งกรณีแบบนี้เท่ากับเป็นการทำหน้าที่ที่เคารพหลักการแบ่งแยกอำนาจ โดยศาลมีหน้าที่ตัดสินกฎหมาย ไม่ใช่ออกกฎหมาย นอกจากนั้นแล้วในต่างประเทศจะไม่มีอำนาจยุบพรรคการเมือง หรือตัดสิทธิสส. เพราะมองว่าเป็นการทำลายหลักการแบ่งแยกอำนาจ กระทบต่อฝ่ายนิติบัญญัติ กระทบฝ่ายบริหาร” 

ดร.มุนินทร์ ระบุด้วยว่า แม้ประเทศไทยจะมีโมเดลมาจากเยอรมนี แต่การให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในประเทศไทยนั้นต่างออกไป สิ่งที่เยอรมนีมีแต่ของไทยไม่มี คือ การใช้อำนาจด้วยความระมัดระวัง และต้องรับผิดชอบอย่างสูงสุด ทำให้ประชาธิปไตยเข้มแข็ง อีกทั้งที่เยอรมนีมีศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปที่สมาชิกอียูร่วมกันตั้งเพื่อควบคุม ไม่ให้มีการละเมิดสิทธิของประเทศสมาชิก ดังนั้นแม้ศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนี จะมีอำนาจกว้าง แต่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบ และมีองค์กรอื่นตรวจสอบ

“ผมมองว่า จุดเริ่มต้นของศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นสิ่งที่คิดผิด เพราะถูกออกแบบให้มีอำนาจกว้างขวางกินเขตอำนาจไปยังองค์กรอื่น  ทั้งตัดสินให้กฎหมายเป็นโมฆะ หากขัดกับรัฐธรรมนูญ ให้ตัดสินยุบพรรค ตัดสิทธิการเมืองของนักการเมือง รัฐมนตรี   และล่าสุดพบว่าถูกวางให้มีอำนาจตรวจสอบจริยธรรมได้อีก"

นักวิชาการคณะนิติศาสตร์ ขยายความต่อว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าการออกแบบแบบนั้นเพื่อต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาแก้ปัญหาของนักการเมืองที่ ทุจริต คอร์รัปชั่น  แต่การใช้เหตุถูกถอดถอนด้วยปัญหาจริยธรรมที่ไม่มีการตีความชัดเจน เช่น กรณีคลิปเสียง ไม่มีอะไรที่ชี้ชัดในขอบเขต หรือ กรณีการยุบพรรคเพราะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ปล่อยให้เกิดการตีความได้กว้างขวาง การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือ การกระทำที่เกี่ยวข้องกับการล้มล้างการปกครอง ต่างมีถ้อยคำที่คุลมเคลือ เพื่อให้ศาลตีความได้กว้างขวาง จนควบคุมไม่อยู่และส่งผลกระทบวงกว้างกับการเมืองไทย

มุมมอง 'นักวิชาการ' สะท้อน แพทองธาร 60% ไม่รอด  คดี 'คลิปเสียง'

ทว่าในอีกแง่มุม การก่อร่างของศาลรัฐธรรมนูญ  “ดร.มุนินทร์” มองว่าเกิดจากปัญหาของนักการเมืองที่ทุจริตคอ์รัปชั่น มีเป้าหมายเพื่อทำลาย ทักษิณ ชินวัตร ออกแบบรัฐธรรมนูญ 2550 เพราะกลัวระบบทักษิณ และรัฐธรรมนูญ 2560 ออกแบบเพื่อทำลายล้างแต่การจัดการปัญหาไม่ให้การเมืองไทยมีนักการเมืองแบบทักษิณ ชินวัตรนั้น กลับทำลายระบบการเมืองไทยและระบอบประชาธิปไตยของการปกครองด้วย

“สิ่งที่เป็นปัญหากับระบบการเมืองไทยและประชาธิปไตย เกิดจากการไว้ใจให้ คน9 คนมีดุลยพินิจมากเกิดไป  หากคน 9 คน ใช้ดุลยพินิจได้อย่างซื่อสัตย์สุจริต  มีศีลธรรม มีจริยธรรม และใช้กระบวนการพิจารณาไต่สวนที่ยุติธรรมกับทุกฝ่ายจะไม่มีปัญหาเลย แต่หากใช้สิ่งที่ออกแบบให้เป็นหน้าที่และอำนาจนั้น ถูกใช้โดยไม่เป็นธรรม ต่อให้ดีไซน์ระบบดีอย่างไร ย่อมถูกใช้เป็นอาวุธในการห้ำหั่นกันได้ไ ดร.มุนิทร์ กล่าวย้ำ

เมื่อตั้งคำถามโดยยกประวัติศาสตร์การเมือง ที่ “พรรค” ที่เป็นตัวแทนของ “ทักษิณ” ถูกยุบพรรคและล่าสุด “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ และรมว.วัฒนธรรม บุตรสาวคนเล็กของ “ทักษิณ” ถูกตรวจสอบจริยธรรม ผ่านปมคลิปเสียงสนทนากับ “ผู้นำกัมพูชา”   จะมีบทลงเอยอย่างไร “นักวิชาการด้านกฎหมาย” มองว่า  คาดเดาได้ยาก เพราะขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการขั้นต้น และยังไม่ทราบว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ แต่สถิติที่ผ่านมา “นายกฯ" หรือ "รัฐมนตรี” ที่ถูกกล่าวหาการกระทำไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีคุณธรรม ไม่มีจริยธรรม โอกาสรอดนั้นยาก

แต่หากจะประเมินเป็นเปอร์เซ็นต์ ขอมองว่าโอกาสรอด แค่ 40% เท่านั้น ส่วนอีก 60% นั้นไม่รอด 

ขณะที่ผลกระทบทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” พิจารณาในคดีคลิปเสียง “ดร.มุนินทร์” บอกว่า ต้องทำความเข้าใจว่ากรณีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมมีผลต่อสังคม ทั้งความพอใจ หรือไม่พอใจ ซึ่งเป็นปกติ  แต่การตัดสินคดีทางการเมืองที่อาจมีผลต่อการเปลี่ยนตัวนายกฯ นั้นปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลกระทบต่อระบบการเมืองไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

“เมื่อนายกฯ ถูกตัดสินว่าผิด ต้องพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งจะส่งผลต่อคณะรัฐมนตรี ที่ต้องพ้นไป และต้องเลือกใหม่ การบริหารราชการแผ่นดินและแก้ปัญหาต่างๆ ต้องหยุดชะงัก ส่วนการออกแบบให้เลือกนายกฯใหม่ พบกุญแจล็อกไว้อีก คือ เลือกได้เฉพาะบัญชีนายกฯของพรรคการเมืองเท่านั้น ซึ่งขณะนี้เหลือเพียงไม่กี่คนแล้ว” ดร.มุนินทร์ ระบุ

มุมมอง 'นักวิชาการ' สะท้อน แพทองธาร 60% ไม่รอด  คดี 'คลิปเสียง'

หากภาพการเมืองหลัง “คดีคลิปเสียง” เป็นไปตามที่ นักวิชาการธรรมศาสตร์ เปิดมุมมอง ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเมืองไทยอาจเข้าสู่ “การเปลี่ยนขั้ว” และการสวิงที่เกิดขึ้นมีความเป็นไปได้ว่า อาจนำการเมืองไปสู่ สิ่งที่ดีขึ้น หรือ เดินลงไปสู่วิกฤตการเมืองอีกรอบ 

ทว่าไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร “นักนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์” ทิ้งท้ายไว้ว่า ต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินด้วยความสุจริตใจ ตัดสินตามกฎหมาย และบางคนบอกว่าศาลมีบทบาทแก้วิกฤตการเมือง ต่อให้เจตนานั้นจะดีหรือไม่ ไม่ได้สำคัญไปกว่าผลกระทบทางการเมืองที่จะกิดขึ้น 

“หากศาลรัฐธรรมนูญ รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเดินไปถึงนั้น คือ ระเบิดปรมาณู และศาลเลือกไม่ใช้ และใช้วิธีการอย่างอื่น คือ ให้การเมืองแก้ด้วยการเมือง  เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับคนอื่น ที่ไม่เกี่ยวข้อง บางคนคิดว่าที่ศาลแอคทีฟต่อการใช้เครื่องมือ โดยไม่คำนึงว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร คือการช่วยให้การเมืองดีขึ้น แต่วันนี้คนไทยทั้งประเทศบอกได้ว่า การเมืองไทยดีขึ้นจริงหรือไม่” ดร.มุนินทร์ กล่าวทิ้งท้าย