สิงหาฯ 3 คดีชี้ชะตา'ชินวัตร' ลุ้นฉากจบคดี ‘ทักษิณ-แพทองธาร’

สิงหาฯ 3 คดีชี้ชะตา'ชินวัตร' ลุ้นฉากจบคดี  ‘ทักษิณ-แพทองธาร’

สิงหาฯ 3 คดีชี้ชะตา'ชินวัตร' ลุ้นฉากจบคดีสองพ่อลูก ‘ทักษิณ-แพทองธาร’ ไม่ว่าคดีจะออกมาในแนวทางใด ย่อมส่งผลต่อทิศทางทางการเมือง

KEY

POINTS

  • เดือนสิงหาคมเป็นเดือนชี้ชะตานายทักษิณและนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ผ่าน 3 คดีสำคัญที่จะตัดสินอนาคตทางการเมือง
  • นายทักษิณเผชิญ 2 คดีหลัก: คดีความผิดตามมาตรา 112 ที่ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 22 ส.ค. และคดี "ป่วยทิพย์" ที่คาดว่าศาลฎีกาจะตัดสินในช่วงเดือนสิงหาคมเช่นกัน
  • นางสาวแพทองธารต้องลุ้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีคลิปเสียงสนทนา ซึ่งคาดว่าจะมีการตัดสินในช่วงปลายเดือนสิงหาคมว่าจะสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่

“นิติสงคราม” จากขั้วแค้น - คู่แค้น ถาโถมใส่ “สองพ่อลูก” ตระกูลชินวัตร จนสะเทือนฐานอำนาจรัฐในมือ จากที่เคยเป็นคนกำหนดเกมการเมือง เดินเข้าสู่แดนประหาร เดิมพันชะตาและอนาคต

เกมวัดใจ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร และ “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร จะฝ่าด่านหินสารพัดคดี เพื่อกลับมามีอำนาจรัฐเต็มมือเหมือนเดิมหรือไม่

โดยไทม์ไลน์คดี พ่อ-ลูก ตระกูลชินวัตร อาจจะมีฉากจบในเดือน ส.ค. ทว่าคดีต่างกรรมต่างวาระ ต้องลุ้นว่าผลคำพิพากษาจะออกมา เป็นคุณ - เป็นโทษ ซึ่งไม่ว่าจะออกมาในแนวทางใด ย่อมส่งผลต่อทิศทางทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คดีแรก ปมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จากกรณี “ทักษิณ” ให้สัมภาษณ์สื่อโทรทัศน์ต่างประเทศที่ประเทศเกาหลีใต้เมื่อปี 2558 ซึ่งมีเนื้อหาถูกกล่าวหาว่าพาดพิงดูหมิ่นสถาบัน

โดยคดีดังกล่าว “อัยการสูงสุด” สั่งฟ้อง “ทักษิณ” ไปเมื่อเดือน มิ.ย. 2567 จากนั้น “ศาลอาญา” มีคำสั่งให้การพิจารณาคดีเป็น"การลับ"มาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นคดีที่วางเงื่อนไขการประกันตัว ห้ามเจ้าตัวออกนอกราชอาณาจักร หากไม่ได้รับการอนุญาต

จนกระทั่งวันที่ 16 ก.ค.2568 ที่ผ่านมา ศาลนัดไต่สวนคดี โดย “ทักษิณ” เบิกความด้วยตนเอง ก่อนที่ “ทีมทนาย” แถลงต่อศาลว่าไม่มีพยานจำเลยเพิ่มเติม ทำให้ศาลจึงมีคำสั่งนัดฟังคำพิพากษาคดีในวันที่ 22 ส.ค.2568 เวลา 10.00 น.

“ทักษิณ” คงต้องลุ้นหนัก ว่าจะรอดหรือร่วง เพราะหากโดนตัดสินให้มีความผิด แม้จะสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ แต่จะอยู่ในสถานะสุ่มเสี่ยงทันที เนื่องจากการนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดคดี ม.112 ร่าง พ.ร.บ. ที่เสนอเข้าสภาฯ ถูกตีตกไปแล้ว ดังนั้นประตูที่เคยหวังว่า จะใช้ช่องนิรโทษกรรมเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองจึงถูกปิดตาย

คดีสอง ปมป่วยทิพย์รักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนพยานไปแล้ว 4 ครั้ง โดยมีนัดหมายไต่สวนอีกในวันที่ 18 ก.ค. , 25 ก.ค. (นัดสุดท้าย) 30 ก.ค. (เผื่อมีการเรียกพยานเพิ่มเติม)

ทั้งนี้เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการไต่สวน หากศาลสิ้นข้อสงสัยแล้ว อาจจะนัดฟังคำพิพากษาได้ โดยคาดการณ์ว่าอาจจะอยู่ในช่วงเดือน ส.ค.เช่นกัน

อย่างไรก็ตามคดีป่วยทิพย์ชั้น 14 มีการไต่สวนคืบหน้าอย่างมาก โดยมุ่งเน้นการไต่สวน “ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์” สอบถามขั้นตอนการควบคุมตัว เกณฑ์การคุมขังนอกเรือนจำตามกรอบ 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน

โฟกัสหลักของ “ศาล” มุ่งไปที่บันทึกของพยาบาลเวรที่ขอส่งตัวผู้ต้องขังออกไปรักษานอกเรือนจำ บันทึกของแพทย์ รพ.ตำรวจ ขณะมาตรวจเยี่ยมอาการของนายทักษิณที่ชั้น 14 หรือที่เรียกว่า Progress note บันทึกของพยาบาลที่เฝ้าไข้ หรือที่เรียกว่า Nurse note

พร้อมสอบทานว่าแผนการรักษาที่ รพ.ตำรวจ ในแต่ละช่วงแพทย์บันทึกอาการไว้อย่างไร เพื่อเปรียบเทียบกับศักยภาพของทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ และจัดเป็นอาการ “วิกฤต” หรือ “ฉุกเฉิน” หรือไม่อย่างไร

ต้องยอมรับว่าปมดังกล่าวเป็นจุดอ่อนที่อาจจะทำให้ “ทักษิณ” ตกอยู่ในสถานะ “เสือลำบาก” เนื่องจากมีแรงต้านจาก “เครือข่ายอนุรักษ์” ที่ไม่ปลื้มกับปฏิบัติการ “ป่วยทิพย์”

คดีสาม ปมคลิปเสียงสนทนาระหว่าง “แพทองธาร” กับ “ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดย “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีมติเอกฉันท์รับคำร้อง สว. และมีมติ 7 ต่อ 2 สั่งให้ “แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ

โดย “แพรทองธาร” ขอขยายเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของ 36 สว. ออกไปอีก 15 วัน ซึ่งจะทำให้ครบกำหนดส่งคำชี้แจงข้อกล่าวหาในวันที่ 31 ก.ค.

จากนั้น “ศาลรัฐธรรมนูญ” จะส่งคำชี้แจงของนายกฯให้ผู้ร้อง (36 สว.) หักล้างข้อชี้แจงภายใน 15 วัน ต่อมาวันที่ 16 ส.ค. จะครบกำหนดของ สว. ที่จะส่งข้อหักล้างคำชี้แจงของนายกฯ โดย “ศาลรัฐธรรมนูญ” จะส่งข้อหักล้างของ 36 สว. ให้นายกฯ หากต้องการแก้ข้อกล่าวหาเพิ่มเติม จะต้องส่งศาลทันที

หลังจากนั้น “ศาลรัฐธรรมนูญ” จะอภิปรายคำร้อง คำชี้แจง ข้อหักล้าง หากสิ้นข้อสงสัยทั้งหมด จะนัดลงมติ โดยจะต้องทอดเวลาไปไม่น้อยกว่า 15 วัน รวมขั้นตอนทั้งหมด จะใช้เวลาราว 45 - 60 วัน คาดการณ์ว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ” อาจจะอ่านคำวินิจฉัยช่วงปลายเดือน ส.ค.

สำหรับแนวทางคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” หาก “แพทองธาร” พ้นผิดจะสามารถกลับไปมีอำนาจเต็มในฐานะนายกฯ และลดเงื่อนไขของ “แนวต้าน” ที่พยายามปลุกการชุมนุม

ขณะเดียวกันหากคำวินิจฉัยให้ “แพทองธาร” พ้นจากตำแหน่งนายกฯ “ทักษิณ - เพื่อไทย” อาจจะต้องอ่าน “สัญญาณพิเศษ” ให้สะเด็ดน้ำว่า จะมีตั๋วให้ “ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ได้รับการโหวตมานั่งเก้าอี้นายกฯ หรืออาจต้องเปลี่ยนเกมหยิบชื่อ “แคนดิเดตนายกฯ” จาก “พรรคร่วมรัฐบาล” มานั่งเก้าอี้ผู้นำคนใหม่

ชะตาการเมืองของสองพ่อลูก “ทักษิณ - แพทองธาร” ในเดือน ส.ค.จึงเป็นเดิมพันใหญ่ของ“ตระกูลชินวัตร” ที่ต้องลุ้นว่าจะเป็น “คนที่ถูกเลือก” หรือเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง ในกระดานอำนาจการเมืองของประเทศไทย