‘แดง-น้ำเงิน-ส้ม’ ฝ่าสมรภูมิ ‘นิติสงคราม’ เซ็ตซีโร่ทั้งกระดาน

เว้นแต่ “ค่ายส้ม” ที่น่าจะเลือกเดินฝ่าดงสมรภูมิรบใน “นิติสงคราม” ต่อ เพราะเดินมาไกล เกินกว่าจะกลับไปนับหนึ่งแล้ว
KEY
POINTS
- ทั้งสามขั้วการเมืองหลัก ‘แดง-น้ำเงิน-ส้ม’ กำลังเผชิญกับ ‘นิติสงคราม’ ผ่านคดีความจำนวนมากที่อาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเมือง
- ‘ค่ายแดง’ เผชิญวิกฤตจากคดีสำคัญของแกนนำ ทั้งกรณีคุณแพทองธาร ชินวัตร ที่ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ และคดีมาตรา 112 ของคุณทักษิณ ชินวัตร
- ‘ค่ายน้ำเงิน’ กำลังถูกตรวจสอบในคดีฮั้วเลือกตั้ง สว. และปัญหาที่ดินเขากระโดง ขณะที่ ‘ค่ายส้ม’ ยังคงเผชิญคดีจริยธรรมร้ายแรงที่เกี่ยวเนื่องกับมาตรา 112
- สถานการณ์ ‘นิติสงคราม’ ที่เกิดขึ้นอาจนำไปสู่การ ‘เซ็ตซีโร่’ ทางการเมือง ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายอนุรักษนิยมที่กุมอำนาจอยู่เบื้องหลัง
กลเกม “นิติสงคราม” ยังคงเดินหน้า ถูกใช้จัดการบรรดา “นักเลือกตั้ง” อย่างไม่หยุดหย่อน ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองร้อนแรง
สถานะของ“แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และ รมว.วัฒนธรรม ยัง“ลูกผีลูกคน” เนื่องจากถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดี “คลิปเสียงฉาว” สนทนากับ “ฮุน เซน” ปมแก้ไขปัญหาชายแดนเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา
ล่าสุด 22 ส.ค.2568 อาจกลายเป็นอีกวันในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อศาลอาญานัดฟังคำพิพากษา คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องอดีตนายกฯ “ทักษิณ ชินวัตร” คดีถูกกล่าวหากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศที่เกาหลีใต้ ส่อเข้าข่าย “หมิ่นเบื้องสูง” หรือไม่
ทว่า มิใช่แค่ “ค่ายแดง” พรรคเดียวที่กำลังเผชิญนิติสงครามครั้งนี้ เพราะมีขั้วการเมืองอีก 2 กลุ่มที่ต้องฝ่าฟันในสมรภูมินี้ ทั้ง“ค่ายส้ม-ค่ายน้ำเงิน” ที่ต้องฝ่าอุปสรรคขวากหนามสารพัดคดีที่ถูกร้องเรียน ซึ่งอยู่ในกระบวนการยุติธรรมเช่นกัน
เริ่มจาก “ค่ายแดง” คดีแรก ที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือ กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติ “เอกฉันท์” รับคำร้องไว้ไต่สวน และมีมติข้างมาก 7 ต่อ 2 เสียง สั่งให้ “แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ เป็นการชั่วคราว แม้ปัจจุบันเธอจะสวมอีกหัวโขน คือ “รมว.วัฒนธรรม” เข้าไปนั่งทำงานในกระทรวง และร่วมประชุม ครม.อย่างไร้รอยต่อ แต่แนวโน้มผลของคดีนี้ยังอ่านออกยาก เพราะสามารถออกได้ทั้ง 2 หน้า ต้องไปลุ้นผลในช่วงเดือน ส.ค.นี้ คือ
1.แพทองธาร รอดพ้นบ่วง คัมแบ็คกลับมานั่งเก้าอี้นายกฯอีกครั้ง เดินหน้าบริหารราชการแผ่นดินได้ต่อไป ซ้ำรอยสมัย “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ แต่ก็รอดพ้นกลับมาได้เช่นเดียวกัน โดย “กูรูกฎหมายรัฐธรรมนูญ” บางคนเคยแสดงความเห็นว่า การที่ศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ กับการที่ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดนั้น ใช้ข้อมูล พยานหลักฐาน และเหตุผลคนละส่วนกัน
2.แพทองธาร ไม่รอด ต้องพ้นจากเก้าอี้นายกฯ และถูกตัดสิทธิทางการเมือง ทำให้ต้องพ้นเก้าอี้ รมว.วัฒนธรรม หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดร่วมสังฆกรรมทางการเมืองไป เฉกเช่นเดียวกับ “เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกฯค่ายแดงก่อนหน้านี้ ทำให้ต้องไปลุ้น “สัญญาณพิเศษ” ว่า ยังให้ถือ “ใบอนุญาต” จัดตั้งรัฐบาลอยู่หรือไม่
นี่ยังไม่นับคดีที่ถูกร้องในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อีกอย่างน้อย 3 คดี ได้แก่
1.คดีร้องเรียน กล่าวหา ครม.แพทองธาร 1/1 ทั้งคณะ เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา “นิติธร ล้ำเหลือ”พร้อมด้วยคณะ ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนกล่าวหา ครม.แพทองธาร ชินวัตร ส่อจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง
2.กรณี “ตั๋วสัญญาใช้เงิน” หรือ “ตั๋ว PN” ในการซื้อขายหุ้นกว่า 4.4 พันล้านบาท แก่บุคคลในครอบครัวของ “แพทองธาร” ถูก “ฝ่ายค้าน” นำโดย “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน(ปชน.)กังขา และนำไปสู่การซักฟอกในสภาฯ อย่างเผ็ดร้อนว่า เข้าข่ายทำ“นิติกรรมอำพราง” หลบเลี่ยงการจ่ายภาษีการรับให้กว่า 218.7 ล้านบาทหรือไม่
3.กรณีโรงแรมหรู เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ปลูกสร้างในโฉนดที่ดิน ซึ่งอยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองฯ ส่อเข้าข่ายฝ่าฝืนจริยธรรมหรือไม่
ถัดมาถึงคิวของ “ทักษิณ ชินวัตร” มีคิวลุ้นคำพิพากษาของศาลในเดือน ส.ค. 2 คดีด้วยกัน ได้แก่ 1.คดีถูกกล่าวหาว่า “หมิ่นเบื้องสูง” ตามมาตรา 112 โดยศาลอาญา นัดฟังคำพิพากษา 22 ส.ค.นี้ 2.คดีการบังคับโทษจำคุก “ทักษิณ” จากการส่งตัวไปรักษาชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ โดยในเดือน ก.ค.นี้ยังเหลือนัดไต่สวนอีก 1 นัดคือ 18 ก.ค. และถ้าหากไต่สวนยังไม่จบในวันดังกล่าว สามารถไต่สวนเพิ่มได้อีก 1 นัดคือ 30 ก.ค. และคาดว่าศาลจะนัดฟังคำพิพากษาช่วงปลายเดือน ส.ค.เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังเรื่องค้างเติ่งอยู่ในกระบวนการของกระทรวงมหาดไทยอีกอย่างน้อย 1 เรื่องคือ กรณีที่ดิน “สนามกอล์ฟอัลไพน์” ที่เคยมีชื่อของ “แพทองธาร ชินวัตร” เข้าไปถือหุ้น แต่โอนให้ “มารดา” ภายหลังรับตำแหน่งนายกฯ ที่คาราคาซังประเด็น “ธรณีสงฆ์” และมีการสั่งให้เพิกถอนโฉนดสนามกอล์ฟดังกล่าว ขณะที่ “อัลไพน์” ได้ยื่นอุทธรณ์สู้ ดังนั้นการทวงคืนมหาดไทยของ “ค่ายแดง” ที่ส่ง “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย เข้าไปคอนโทรล จะมีการเอื้อประโยชน์เรื่องนี้หรือไม่ ต้องรอดู
ถัดมา “ค่ายน้ำเงิน” มี 2 กรณีร้อนที่กำลังเข้าสู่ช่วง “โค้งสุดท้าย” ของกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ 1.คดีฮั้ว สว.ที่แบ่งการสอบสวนออกเป็น 2 ส่วน คือ กรณีสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไต่สวนโดยคณะกรรมการสอบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง ชุดที่ 26 กรณีการเลือก สว.ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม (ฮั้ว) ว่ากันว่ามีผู้ถูกกล่าวหาคดีนี้ราว 229 คน แบ่งเป็น 138 สว. ส่วนที่เหลือคือบรรดา “นักเลือกตั้ง-บิ๊กเนมค่ายน้ำเงิน” ที่การสอบสวนงวดเข้าไปทุกขณะ เหลือแค่ไม่กี่ขั้นตอนจะชงที่ประชุม กกต.ชุดใหญ่ ชี้ขาดได้แล้ว และกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สอบสวนคดีอั้งยี่ และฟอกเงิน จากการฮั้ว สว. ที่ใกล้แล้วเสร็จเช่นกัน อยู่ระหว่างเตรียมสรุปสำนวน
2.คดี “เขากระโดง” ที่เป็นมหากาพย์ลากยาวมา 50-60 ปีแล้ว ผ่านคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลมาหลายศาล ทั้งศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา รวมถึงศาลปกครองสูงสุด โดยข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า ที่ดินบริเวณเขากระโดงกว่า 5 พันไร่นั้น เป็นของ “การรถไฟแห่งประเทศไทย” หรือ รฟท. โดยในจำนวนนั้นกว่า 288 ไร่ เป็นเอกสารสิทธิ์ที่อยู่ในชื่อของ “ตระกูลบ้านใหญ่อีสานใต้” ทั้งนี้พลันที่ “ภูมิธรรม” ในฐานะ มท.1 เดินหน้าสางปัญหาใต้พรมชิ้นนี้ทันควัน เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาอย่างที่ควรจะเป็น ท่ามกลางข้อครหา “เช็กบิล” สางแค้น “ค่ายน้ำเงิน”
สุดท้าย “ค่ายส้ม” แน่นอนว่าเป็นกลุ่มขั้วการเมืองที่เผชิญ “นิติสงคราม” มาโดยตลอด 7 ปี พรรคถูกยุบไปแล้วถึง 2 ครั้ง โดยในยานพาหนะคันที่ 3 อย่าง “พรรคประชาชน” (ปชน.) แม้จะถูกวิจารณ์ว่า “ลดเพดาน” ลงหลังจาก “ก้าวไกล” ถูกยุบ เนื่องจากนโยบายหาเสียงแก้ไขมาตรา 112 เข้าข่าย “ล้มล้างการปกครอง” ผสมกับหัวหน้าพรรคคนใหม่อย่าง “เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” บุคลิกยังไม่ชัดเจน ถ้าเทียบกับ 3 หัวหน้าพรรคก่อนหน้านี้อย่าง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์-ชัยธวัช ตุลาธน” ทำให้การใช้ “กระแส” อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
จำเป็นต้องปรับ “ยุทธศาสตร์” ใหม่ โฟกัสไปที่การปฏิรูปโครงสร้างการเมือง ที่ทำเป็นหลักอยู่แล้ว และแตะประเด็นเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ให้มากขึ้น เพื่อความหลากหลาย นอกจากนี้ยังพยายามดันการตรวจสอบสารพัดปัญหาของรัฐบาลในหลายมิติ ทั้งเรื่องความมั่นคง ที่นำโดย “รังสิมันต์ โรม” เรื่องการใช้งบประมาณ ที่มี “ไอซ์ รักชนก ศรีนอก-ลิซ่า ภคมน หนุนอนันต์” เป็นโต้โผ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ยังมีคดีใหญ่อย่างน้อย 1 คดีที่ยังติดตัวพวกเขาอยู่ นั่นคือกรณี 44 อดีต สส.ก้าวไกล ถูกกล่าวหาในชั้นการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ปมร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยในจำนวนนี้มีอย่างน้อย 25 คน ที่ปัจจุบันสวมเสื้อส้ม เป็น สส.ในสภาฯ สังกัดพรรค ปชน.อยู่ตอนนี้ ซึ่งหมายรวมถึง “เท้ง ณัฐพงษ์-ไหม ศิริกัญญา ตันสกุล-รังสิมันต์ โรม-ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล-ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์-วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” ที่เป็นแกนนำหลักของพรรคตอนนี้
ด้วยท่าทีของ ปชน.ซึ่งมีความพยายามในการผลักดันให้เกิดการ “นิรโทษกรรม” ล้างผิดคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ในช่วงที่ผ่านมาด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวอาจถูกนำไปใช้ในสำนวนการไต่สวน ไม่ว่าจะเป็นในชั้น ป.ป.ช. หรือในชั้นศาลฎีกา (ถ้าหากถูกชี้มูลผิด) ก็เป็นไปได้
นอกจากเรื่องนี้ ยังมีคดีส่วนตัวที่ติดตัว “แกนนำ-สส.ในพรรค” โดยแทบทั้งหมดคือคดีเกี่ยวกับการชุมนุม หรือคดีตามมาตรา 112 เช่น “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า “ศาสดาสีส้ม” ถูกอัยการฟ้องต่อศาลในคดีมาตรา 112 กรณีวิจารณ์ “วัคซีนโควิด-19” เมื่อ 2-3 ปีก่อน ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาในศาล
นอกจากนี้ 3 สส.ของพรรค “ไอซ์ รักชนก” สส.กทม. “โตโต้ ปิยรัฐ จงเทพ” สส.กทม. และ “ลูกเกด ชลธิชา แจ้งเร็ว” สส.ปทุมธานี ยังถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 เช่นกัน บางคนมีคำพิพากษาในศาลชั้นต้นแล้ว อยู่ระหว่างรอศาลอุทธรณ์พิพากษาด้วย
ถ้าหาก “นิติสงคราม” เดินหน้ารุกไล่ทั้ง 3 กลุ่มขั้ว จนถึงจุด “เซ็ตซีโร่” กระดานการเมืองไทย ฝ่ายที่น่าจะได้ผลประโยชน์ที่สุดคือ “ฝ่ายอนุรักษนิยม” ที่ยังยึดกุมอำนาจหลังม่าน และมีเครือข่ายอยู่ในองค์กรราชการหลายแห่ง ทำให้กลุ่มขั้วการเมืองข้างต้น ไม่มีทางเลือกมากนัก จำต้องยอมเดินตามเกม เพื่อหวัง “ใบอนุญาต” จัดตั้งรัฐบาลต่อไป ตามที่ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า เคยวิเคราะห์ไว้
เว้นแต่ “ค่ายส้ม” ที่น่าจะเลือกเดินฝ่าดงสมรภูมิรบใน “นิติสงคราม” ต่อ เพราะเดินมาไกล เกินกว่าจะกลับไปนับหนึ่งแล้ว







