'ประชามติ' รื้อรัฐธรรมนูญ'60 ทางสองแพร่ง ‘เกมสภา-พท.’

'ประชามติ' รื้อรัฐธรรมนูญ'60 ทางสองแพร่ง ‘เกมสภา-พท.’

บันไดขั้นแรก สู่การรื้อรธน.60 เริ่มขึ้น หลัง กม.ประชามติ ฉบับแก้ไขผ่านสู่ขั้นตอนประกาศใช้ "พท." ย้ำต้องโละมรดก คสช. ให้ได้ภายในสมัย ทว่าหนทางที่เป็นไป "ไม่ง่าย"

KEY

POINTS

 

  • สภาฯ ผ่านร่างแก้ไขกฎหมายประชามติ ปรับเกณฑ์ให้ใช้เพียงเสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิ เพื่อปูทางรื้อรัฐธรรมนูญ 2560
  • อนาคตการแก้รัฐธรรมนูญยังอยู่บนทางสองแพร่ง คือต้องรอคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเรื่องจำนวนครั้งในการทำประชามติ และ ร่างแก้ไข ม.256 ที่ค้างในสภาฯ ที่ส่อว่าเป็นปัญหา
  • พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าแก้รัฐธรรมนูญให้สำเร็จในรัฐบาลชุดนี้ ทว่าอาจไม่ใช่งานง่าย เพราะ "รัฐบาล-แพทองธาร" กำลังเผชิญมรสุมการเมือง ที่ส่อแววว่าอาจต้องยุบสภาก่อนแก้รัฐธรรมนูญได้สำเร็จ
  • ขณะที่พรรคประชาชนคาดว่าการทำประชามติอาจเกิดขึ้นพร้อมการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2569
  • ไม่ว่าผลของคำวินิจฉัยรัฐธรรมนูญ หรือ ไทม์ไลน์แก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีออกมาอย่างไร ล้วนเป็น "เกมยาก" ทั้งสิ้น เนื่องจากเงื่อนไขห้ามรื้อรัฐธรรมนูญ ยังมีอีกเพียบ

 

ในที่สุด การแก้ไข “บันได” ขั้นแรกที่จะนำไปสู่การรื้อ “รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560” ภายใต้การปรับเกณฑ์ผ่านประชามติใน ร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ถูกโหวตผ่านแล้วในชั้นนิติบัญญัติ

หลังจากที่ร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ฉบับแก้ไข ค้างๆ คาๆ ในสภาฯ-วุฒิสภา รวมเป็นเวลา 1 ปี 1 เดือน กับอีก 1 วัน นับตั้งแต่การเสนอเข้าสู่ขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อ 11 มิ.ย.2567

หากย้อนความของเรื่องนี้ จะพบว่าเป็นเกมยื้อ ที่ใช้เวทีเสียงข้างมากของสภาฯ ได้คุ้มค่า คุ้มเวลา

สำหรับกระบวนการแก้ไข มีเนื้อหาที่ถูกโฟกัสเพียงเรื่องเดียว คือ “เกณฑ์ผ่านประชามติ” ที่กฎหมายประชามติปี 2564 กำหนดให้มีด่านหิน 2 ชั้น ก่อนเข้าไปสู่ประตูบานแรกของการแก้รัฐธรรมนูญ 2560 นั่นคือ การออกเสียงประชามติที่ถือเป็น “ข้อยุติ” ต้องได้เสียงของมีผู้ออกมาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ และเสียงเห็นชอบต้องได้เกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ 

ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรียุคที่มี “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกฯ ได้สนับสนุนข้อเสนอของคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นต่างของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่มี “ภูมิธรรม เวชยชัย” เป็นประธานกรรมการ และได้ยกร่างกฎหมายประชามติเสนอต่อสภาฯ

'ประชามติ' รื้อรัฐธรรมนูญ'60 ทางสองแพร่ง ‘เกมสภา-พท.’

ในชั้นของสภาฯ เสียงข้างมากของรัฐบาล ที่แม้จะยกเว้น “พรรคภูมิใจไทย” แต่ด้วยการสนับสนุนของ “พรรคประชาชน” สามารถผ่านไปได้โดยราบรื่น และปลดล็อกเกณฑ์ผ่านประชามติ 2 ชั้น ให้เหลือแค่ชั้นครึ่ง คือ “เกณฑ์ผ่านประชามติต้องมีคะแนนเสียงข้างมากของผู้ออกมาใช้สิทธิและคะแนน ต้องสูงกว่าเสียงไม่แสดงความเห็นในเรื่องทำประชามติ”

ทว่า ในชั้นของ “วุฒิสภา” ที่ถูกขนานนามว่าเป็น “ขั้วน้ำเงิน” ใช้กลไกของกรรมาธิการ “คว่ำเนื้อหาของสภาฯ” และคงเงื่อนไข เกณฑ์ผ่านประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ด้วยเสียงข้างมาก 2 ชั้น คือ 

ชั้นแรก “การทำประชามติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ” ส่วน ชั้นสอง คือ “เสียงเห็นชอบต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ที่มาใช้สิทธิ” ไว้ดังเดิม

'ประชามติ' รื้อรัฐธรรมนูญ'60 ทางสองแพร่ง ‘เกมสภา-พท.’

ด้วยเนื้อหาของร่างกฎหมายที่ “สส.” และ “สว.” เห็นต่างกันนั้น จำเป็นต้องใช้กระบวนการของเสียงข้างมาก หาข้อยุติ เมื่อสว.แก้ไข เนื้อหาของสส. และสส.ไม่เห็นด้วย จึงต้องตั้งกรรมาธิการร่วมกัน มาหาทางตรงกลาง แต่ในชั้นกรรมาธิการร่วมกัน “เสียงข้างมาก” เป็นของฝ่าย “ขั้วน้ำเงิน” ทำให้การเสนอเนื้อหาให้แต่ละสภาฯโหวต ยังคงเดิมเหมือนกับที่ “สว.” เห็นชอบ

จนนำไปสู่การโหวตที่เห็นต่าง และร่างพ.ร.บ.ประชามติ ต้องถูกยับยั้งไว้อีก 180 วัน ตั้งแต่ปลายปี 2567 และเมื่อเป็นจังหวะที่สภาฯ เปิดสมัยประชุม ก.ค. ร่างพ.ร.บ.ประชามติจึงถูก “สภาฯ” ยืนยันตามเนื้อหาที่สภาฯแก้ไขด้วยเสียงข้างมาก

จากนี้ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานสภาฯ ต้องส่งให้รัฐบาล ส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนการประกาศใช้เป็นกฎหมาย โดยตามการประเมินของฝ่ายการเมือง คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานเกิน 60 วัน ที่พ.ร.บ.ประชามติฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้ และเป็นจุดเริ่มต้นของการนำไปสู่กระบวนการ “รื้อรัฐธรรมนูญ 2560” เสียที

ทว่า หนทางนี้ มีสิ่งที่ต้องพิจารณา แบ่งออกเป็น 2 แพร่ง คือ 

แพร่งแรก คือ ต้องรอคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ต่อจำนวนครั้งการทำประชามติ ที่รัฐสภาส่งเรื่องไปขอความชัดเจน ซึ่ง “ฝ่ายการเมือง” คาดว่า ไม่เกิน 1 เดือน จะมีผลชี้ขาด

'ประชามติ' รื้อรัฐธรรมนูญ'60 ทางสองแพร่ง ‘เกมสภา-พท.’

สำหรับแนวทางที่คาดว่าจะออกมา มี 2 ทาง คือ “ทางที่ไม่ชี้จำนวนของการทำประชามติ” และยืนยันต่อคำวินิจฉัยที่มีมาก่อนหน้านั้น เช่น คำวินิจฉัยที่ 4/2564 ที่กำหนดว่า “ก่อนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญลงประชามติเสียก่อนว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่”

โดยเรื่องนี้ฝ่ายกฎหมายของสภาฯ เคยให้ความเห็นต่อประธานรัฐสภา วันมูหะมัดนอร์ มะทา แล้วว่า “ต้องทำ(ประชามติ)ก่อนการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256”

ส่วนอีกทาง คือ “ชี้ชัดว่าต้องทำประชามติเมื่อใด” ซึ่งจะส่งผลให้มีคำตอบที่ชัดเจนถึงจำนวนครั้งในการทำประชามติ ระหว่าง 3 ครั้ง คือ “ก่อน” การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 - “หลัง” มีรัฐธรรมนูญแก้ไขที่ “รัฐสภา”ดำเนินการ และหลังจากที่มีร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือ 2 ครั้ง คือ หลังจากที่แก้ไข มาตรา 256 แล้วเสร็จ โดย "รัฐสภา" และ หลังจากที่มีร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ขณะที่ “แพร่งที่สอง” คือ ร่างรัฐธรรมนูญ ที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ให้มี “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ที่มาจากการเลือกของประชาชน ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ “พรรคประชาชน” และ “พรรคเพื่อไทย” เสนอต่อ “รัฐสภา” และยังค้างอยู่ในระเบียบวาระของรัฐสภา ตั้งแต่ต้นปี68

'ประชามติ' รื้อรัฐธรรมนูญ'60 ทางสองแพร่ง ‘เกมสภา-พท.’

ทางทั้ง 2 แพร่งนั้น ล้วนมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกัน และเป็นจุดชี้ต่อการวางไทม์ไลน์ของการแก้รัฐธรรมนูญ 2560 และ “สัมพันธภาพทางการเมือง” อย่างยิ่ง

เพราะต่อให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีคำวินิจฉัยต่อจำนวนครั้งของการทำประชามติ เป็น “คุณ” กับผู้ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ การเดินหน้าทำประชามติ ครั้งแรก เพื่อขอความเห็นชอบของประชาชน ใช่ว่าวันออกเสียงประชามติจะทำได้ในวันรุ่งขึ้น

เพราะตามกฎหมายที่แก้ไข ยังต้องการเวลาเพื่อทำความเข้าใจ ในกรอบเวลาไม่น้อยกว่า 90 วัน แต่ต้องไม่เกิน 120 วัน

หากจุดเริ่มต้นของการทำประชามติตามกฎหมายใหม่ เกิดขึ้นได้ในต้นเดือน ต.ค. การกำหนดวันออกเสียงประชามติต้องบวกเวลาบอกกล่าวประชาชน ตามที่กฎหมายกำหนด เบื้องต้นอาจตกในห้วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 2569

แม้ “ธีระชัย แสนแก้ว” สส.เพื่อไทย จะประกาศกลางสภาฯ ว่า ต้องเริ่มแก้รัฐธรรมนูญในสมัยรัฐบาลเพื่อไทยให้ได้ เพราะเสียเวลา และเสียโอกาสมากว่า 2 ปีแล้ว และประเด็นที่ต้องการเคลียร์ต่อเนื้อหา คือ การตั้งเงื่อนไขว่าด้วยการควบคุมนักการเมืองผ่านมาตรฐานจริยธรรมทางการเมือง

หากเป็นไปตามนี้ “พรรคเพื่อไทย” ต้องทำทุกวิธีทางเพื่อครองอำนาจบริหารต่อไปจนถึงปลายปี 2569 หรือเกินกว่านั้น เพื่อให้มีเวลา “รื้อตรวน” ที่ผูกเอาไว้ แต่ในจังหวะก้าวอาจต้องเผชิญความเสี่ยงทางการเมืองอีกมาก

ขณะที่ในมุมของพรรคประชาชน โดย “พริษฐ์ วัชรสินธุ” สส.พรรคประชาชน ประเมินไว้ว่า “การทำประชามติเพื่อปลดล็อกประตูสู่การแก้รัฐธรรมนูญอาจเกิดขึ้นพร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปในต้นปี 2569”

ดังนั้น ไม่ว่าไทม์ไลน์ของการแก้รัฐธรรมนูญจะออกมาแบบไหน หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยต่อจำนวนครั้งทำประชามติ และจะส่งผลต่อร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ที่รอการพิจารณาอย่างไร

ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เกมรื้อรัฐธรรมนูญ2560” ยังได้รับการปกป้องอย่างดี จากทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง-เสียงในรัฐสภา และมวลชนที่รอจังหวะขยายประเด็น