นักวิชาการชี้ถ้าศาล รธน.มาจากเลือกตั้ง หวั่นอิทธิพลนักการเมือง

นักวิชาการชี้ถ้าศาล รธน.มาจากเลือกตั้ง หวั่นอิทธิพลนักการเมือง

เสวนา 'นักวิชาการ-สื่อ' มองศาล รธน.ยุคปรับตัว รับคำวิจารณ์ หวั่นถ้าแก้ให้มาจากเลือกตั้ง ซ้ำรอย ตปท. ตุลาการวิ่งหานักการเมือง

KEY

POINTS

  • นักวิชาการแสดงความกังวลว่าหากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกตั้งโดยตรง อาจทำให้ต้องพึ่งพาอิทธิพลของนักการเมืองและฐานเสียง ซึ่งจะกระทบต่อความเป็นกลาง
  • มีการยกตัวอย่างกรณีของประเทศเม็กซิโกที่ใช้ระบบเลือกตั้งผู้พิพากษา แต่มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เพียง 13% และเกิดเสียงวิจารณ์ว่ากระบวนการยุติธรรมถูกการเมืองแทรกแซง
  • การให้ประชาชนเลือกตั้งศาลรัฐธรรมนูญถูกมองว่าอาจนำไปสู่การตั้งคำถามต่อความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรม หากตุลาการต้องวิ่งเต้นหาเสียงเหมือนนักการเมือง
  • แม้ที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในปัจจุบันจะถูกวิจารณ์ แต่การเลือกตั้งถูกมองว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้ศาลกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่าเดิม

เมื่อวันที่ 14  ก.ค. 2568 นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นประธานในการเปิดโครงการศาลรัฐธรรมนูญพบสื่อมวลชน ประจำปี 2568 เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ตลอดจนผลการดำเนินงานที่สำคัญต่างๆของศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีคณะตุลาการ ผู้บริหารสำนักงาน สื่อมวลชนและสถาบันการศึกษาเข้าร่วมจำนวนมาก

นายนครินทร์ กล่าวตอนหนึ่งว่า กิจกรรมศาลรัฐธรรมนูญพบสื่อได้มีการปรับรูปแบบไปเรื่อยๆ ซึ่งศาลก็เข้าใจการทำงานของสื่อมวลชน เพราะสื่อมวลชนก็อยากได้อะไรที่เราพูดได้ บางอย่างก็ไม่ควรจะพูด ตนด็ได้รับคำเตือนทั้งสองอย่างว่าควรจะพูดให้มากและควรจะพูดให้น้อย  แต่น้ำหนักจะอยู่ที่การให้พูดให้น้อย แต่บางคนก็บอกให้พูดให้มาก เพราะยังมีสื่อที่ไม่เข้าใจศาล  และบางอย่างพูดให้น้อยเพราะถือว่าเกินเลยไปแล้ว ไม่ใช่บทบาทของศาล อย่างไรก็ตามสื่อมวลชนกับศาลต้องอยู่ด้วยกัน แต่รูปแบบที่พอดีและการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ซึ่งตนก็ทราบว่าสื่อมวลชนต้องการข่าวอะไรที่เป็นพิเศษและล่วงหน้าเสมอ แต่เรื่องบทบาทหน้าที่ต้องเข้าใจและให้เกียรติศาล ศาลเองก็เข้าใจสื่อ แต่วิธีการสื่อของศาล เราก็ต้องพูดในกรอบกฎหมาย กรอบจริยธรรมของศาล มารยาท กติกาบางอย่าง ซึ่งเราก็ต้องพูดอะไรแต่พอดี  เพราะฉะนั้นต้องหาจุดสมดุล 

นักวิชาการชี้ถ้าศาล รธน.มาจากเลือกตั้ง หวั่นอิทธิพลนักการเมือง

จากนั้นมีการเสวนาหัวข้อ "การสร้างระบบถ่วงดุลและบทบาทหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญในอนาคต" โดย ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า มีการตั้งคำถามว่ามีสิทธิ์อะไรที่ คนแค่ 9 คน มาตัดสินอนาคต หรือคนที่ได้รับฉันทามติจากประชาชนโดยตรงนั้น แต่ปัญหาการสื่อสาร รับข้อความบ้านเรา ชอบมองที่ปลายน้ำไม่มองต้นน้ำว่าที่ถูกร้องเรียนนั้นเพราะอะไร แล้วเอาปลายน้ำมาตั้งคำถาม

ถามการได้มาของศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าต้องการประชาธิปไตยจ๋า แบบเม็กซิโก ประชาชนเลือกตั้งศาลทุกระดับ พบว่าประชาชนใช้สิทธิ์แค่ 13% หรือแค่ล้านกว่าคนจากจำนวนคนของทั้งประเทศ ทำให้มีการวิจารณ์ระบบยุติธรรมของชาติตามมา ฝ่ายการเมืองก็คิดวางอำนาจของตน กลายเป็นว่าศาลต้องวิ่งหานักการเมือง วิ่งหาฐานเสียง ทำให้คนมองว่ากระบวนการยุติธรรมถูกปู้ยี่ปู้ยำ แต่ฝ่ายการเมืองบอกว่านี่คือประชาธิปไตย ดังนั้นหากเรื่องนี้เกิดขึ้นในไทย คิดว่าคนค่อนประเทศ หรือส่วนใหญ่จะสวดชะยันโต ย้อนไปร้อยกว่าปี อำนาจศาล พระเดชพระคุณอยู่ที่คนคนเดียว แล้วจะเอาอย่างนั้นหรือ

นักวิชาการชี้ถ้าศาล รธน.มาจากเลือกตั้ง หวั่นอิทธิพลนักการเมือง

“ผมคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.นี้ มีการน้อมรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการตั้งคำถามของสื่อ นักวิชาการ นักวิเคราะห์ ซึ่งนี่คือโลกของประชาธิปไตยที่ยอมรับการแสดงความเห็นหลายด้าน ผมไม่ได้มาชม แต่เห็นว่าพัฒนาการของศาลดีขึ้นตามลำดับ” นายวันวิชิต กล่าว

นายวันวิชิต กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีให้มีศาลจริยธรรมตรวจสอบดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญอีกเหมือนบางประเทศ จะกลายเป็นการฟอก หรือดึงเช็ง และเป็นประเด็นถกเถียงกันอีก ทั้งนี้ผลการตัดสินย่อมมีทั้งคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีการเปิดเผยมติและความเห็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้นถือเป็นความโปร่งใสแล้ว อย่างมติ 7 ต่อ 2 เสียง ที่ให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ กับไม่หยุด มีคนระดับนายพลมาถามว่า ทำไมเป็นแบบนี้ นี่ แสดงว่าเขาไม่อ่านเนื้อหาข้างใน ซึ่งบรรยายเหตุผลไว้อยู่แล้วว่า เพราะอะไร และเห็นด้วยว่าควรมีโฆษกศาลฯ เพื่อตอบคำถามมากกว่าเพลส หรือแถลงการณ์ เพื่อลดความฟุ้งซ่านของสังคม และทันต่อสถานการณ์

ส่วนนายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า คนมองศาลรัฐธรรมนูญว่าเป็นศาลการเมือง ต่างจากหลายประเทศ โดยเฉพาะปัจจุบันศาลรัฐธรรม ตามรัฐธรมนูญปี 2560 มีอำนาจเพิ่มขึ้นในการตัดสินจริยธรรมนักการเมืองที่เป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะการเมืองมีหลายฝ่าย แต่ประเด็นการสื่อสารของสื่อที่มีหลายช่องทางและใช้ความเร็วในการชิงพื้นที่จึงสื่อสารสั้นๆ เช่น มติ 7:2 สั้นๆ จึงต้องมีคำอธิบายออกมาเร็ว ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญถือว่า มีเอกสารเผยแพร่ออกมาเร็ว แต่ใช้ภาษาอ่านยาก จึงต้องพัฒนา ควรสรุปย่อคำวินิจฉัย คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ที่อ่านเข้าใจง่าย ไม่ใช้ภาษากฎหมาย ภาษาศาล ส่วนกรณีที่มีการบิดถ้อยคำ หรือมีนักแบกต่างๆ นั้นเห็นว่าควรมีโฆษกศาล ที่สามารถอธิบายคำวินิจฉัยข้อสงสัย และให้ความเห็นได้

นายมนตรี จอมพันธ์ สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวว่า การได้มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากการสรรหา และผ่านการเห็นของของวุฒิสภา เป็นเรื่องที่ถูกตั้งคำถาม และมีการยื่นแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญและแก้ไขตรงนี้ เช่น ให้เป็นความเห็นร่วมระหว่างรัฐสภา และวุฒิสภา ซึ่งต้องจับตาว่าจะผ่านหรือไม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ กรณีการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญล่าสุด คนที่ได้รับการสรรหาแทบได้เสียงเอกฉันท์จากกรรมการสรรหา แต่พอเสนอเข้าวุฒิสภากลับไม่ผ่าน ให้กลับมาสรรหาใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนที่ไม่ได้รับการสรรหาในรอบแรก รอบนี้กลับได้ และเข้าสู่รอบสุดท้ายแล้ว ซึ่งเรื่องนี้เราทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นไปตามกติกาเมื่อเขียนที่มาให้เป็นแบบนี้ แต่สิ่งที่สื่อมวลชน และนักวิชาการต้องทำคือการจับตาและร่วมการกันตรวจสอบ

นายมนตรี กล่าวต่อถึงการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญขอฝ่ายต่างๆ ขณะนี้ว่า ตนคิดว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ นาทีนี้คงลำบาก แต่ตนเห็นว่า ที่ผ่านมามักเอารัฐรัฐธรรมนูญมาเป็นปัญหา บอกว่าเป็นต้นไม้พิษ แต่จริงๆ คนกลับเลือกกินบางผลที่เป็นประโยชน์กับตนเอง เช่นเดียวกับเรื่องรัฐประหารที่เลือกบางอย่างมาใช้ แล้ววันนี้ก็มามองว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่า การแก้ไขเพื่อเป็นหลักประกันทุกฝ่าย ปัญหาหนึ่งที่ผ่านมา ที่เราไม่เคยแก้เลยคือนักการเมือง หรือคน ไม่เคยมองว่าตนเองเป็นปัญหาและไม่เคยแก้ไข

ทั้งนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องทบทวนคือ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เดิมที่ผ่านมาไม่มีภารหน้าที่มากนัก แต่วันนี้ทุกอย่างมาที่ศาลรัฐธรรมนูญหมด พอเรื่องที่ไม่เป็นคุณ ก็มองว่าคน 9 คน ตัดสินไม่ถูกต้อง หรือบางครั้งคนพูดเรื่องนี้แล้วเห็นว่าเรื่องไหนที่รอก่อน ก็มาถามศาล เช่น แก้ไขรัฐธรรมนูญต้องทำประชามติกี่ครั้ง ซึ่งย้ำว่าถ้าจะแก้จริงๆ ไม่ต้องนับหนึ่งตั้งกรรมการคณะแรกด้วยซ้ำ แถมยังแวะกลางทางเรื่อยๆ สุดท้ายต้องมาถามศาล ดังนั้นต้องทบทวนการได้มาของศาลรัฐธรรมนูญ และทบทวนบทบาทหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะเอาทุกเรื่องตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบหรือไปให้ท่านหรือไม่ อย่างที่นักการเมืองบอกว่าเรื่องจริยธรรมให้องค์กรดูได้หรือไม่ ศาลจะได้ไม่พลอยเป็นจำเลย คำว่านิติสงครามจะได้ไม่ถูกนำมาพูดถึง ทั้งที่ศาลท่านให้ความเป็นธรรมกับผู้คนทั้งหลายที่ทำอย่างตรงไปตรงมา

“คำว่า นิติสงครามจะไม่เกิดขึ้น ถ้าเกิดว่าไม่มีคนไปท้าทาย ฉวัดเฉวียน โฉบอยู่เรื่อย เส้นทุกเส้นมันเลยไปหมดแล้ว แม้กระทั้งที่เป็นข่าวอยู่วันสองวัน ถ้ามีคนไปร้องก็หาว่ากลายเป็นลูกอีช่างฟ้อง แต่ถ้าไม่ทำ เขาจะไปฟ้องไหม ก็เพราะว่าไปโฉบๆ เฉี่ยวๆ จนกระทั่งเป็นปัญหา แต่พอไม่พอใจก็บอกว่านี่เป็นนิติสงคราม”  นายมนตรี กล่าว