นับหนึ่ง ทวงคืน ‘เขากระโดง’ ภารกิจ ‘มท.’ รื้อ ‘บ้านใหญ่บุรีรัมย์’

นับหนึ่ง ทวงคืน ‘เขากระโดง’ ภารกิจ ‘มท.’ รื้อ ‘บ้านใหญ่บุรีรัมย์’

เรื่องที่ดินเขากระโดงต้องทำตามภารกิจ ซึ่งเป็นเรื่องค้างเก่า ต้องหยิบเรื่องที่ประชาชนมีข้อคิดเห็น และต้องมาเคลียร์ดูใหม่ ว่าอะไรที่ประชาชนเขาคลางแคลงใจบ้าง

KEY

POINTS

  • กระทรวงมหาดไทยรื้อคดีที่ดิน “เขากระโดง” จ.บุรีรัมย์ กว่า 5,000 ไร่ ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) อ้างกรรมสิทธิ์ แต่ตระกูล "ชิดชอบ" ถือครองโฉนด
  • แม้ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินเป็นของ รฟท. แต่กรมที่ดินในยุครัฐบาลก่อนมีคำสั่งไม่เพิกถอนโฉนด
  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คนปัจจุบันได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบคำสั่งของกรมที่ดินว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
  • การตรวจสอบมุ่งเน้นที่ดินอย่างน้อย 12 แปลง (288 ไร่) ที่อยู่ในชื่อของคนในตระกูลชิดชอบ และบริษัทเครือข่าย ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านพัก และสนามฟุตบอล

“เรื่องที่ดินเขากระโดงต้องทำตามภารกิจ ซึ่งเป็นเรื่องค้างเก่า ต้องหยิบเรื่องที่ประชาชนมีข้อคิดเห็น และต้องมาเคลียร์ดูใหม่ ว่าอะไรที่ประชาชนเขาคลางแคลงใจบ้าง เพื่อให้หายความคลางแคลงใจ” คือ คำยืนยันจากปากของ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ภายหลังเข้ารับตำแหน่ง “รมว.มหาดไทย” หมาดๆ เมื่อ 3 ก.ค.68 ที่ผ่านมา

กรณี “เขากระโดง” ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ค้างคาใจสาธารณชนมายาวนาน เนื่องจากกรณีดังกล่าว คำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้วถึง 3 ครั้ง นั่นคือในชั้นศาลฎีกา 2 ครั้ง และชั้นศาลอุทธรณ์ 1 ครั้ง รวมถึงคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด 

สรุปข้อเท็จจริงได้ว่า พื้นที่บริเวณเขากระโดงกว่า 5,000 ไร่ มีอย่างน้อย 12 แปลง 288 ไร่ มีการถือครองในชื่อบุคคล และนิติบุคคล รวมถึงปล่อยเช่าให้นิติบุคคลด้วยวิธีซับซ้อน โดยส่วนใหญ่อยู่ในชื่อคนในตระกูลการเมือง และนอมินี หนึ่งในนั้นคือ “ตระกูลชิดชอบ” บ้านใหญ่อีสานใต้

แต่ถึงแม้จะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดมาแล้วหลายปี แต่กลับยังไม่สามารถดำเนินการ “เพิกถอนโฉนด” ซึ่งเดิมเป็นของ “การรถไฟแห่งประเทศไทย” หรือ รฟท.ได้เสียที โดยกระบวนการล่าสุดเกิดขึ้นในยุค “กรมที่ดิน” เมื่อครั้ง “เสี่ยหนูอนุทิน ชาญวีรกูล นั่งเก้าอี้รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ซึ่งปัจจุบันเขาถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล ไปเป็น “ฝ่ายค้านป้ายแดง” เรียบร้อยแล้ว

รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งรับผิดชอบเรื่องการอุทธรณ์ประเด็นที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ได้พิจารณาคำอุทธรณ์ของ รฟท.กรณีที่ดินเขากระโดง เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยเห็นว่า กรมที่ดิน โดยคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน มีคำสั่งไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินเขากระโดงนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว และทำหนังสือแจ้ง รฟท.กลับไป โดยกล่าวอ้างว่า รฟท.ไม่มีพยานหลักฐานน่าเชื่อถือในการชี้แนวเขตของเขากระโดง นอกจากนี้การนำคำพิพากษาเป็นรายคนนั้น ไม่สามารถนำมาเป็นบรรทัดฐานในการเพิกถอนเอกสารสิทธิได้ กรมที่ดินจึงสั่งยุติเรื่องนี้

นั่นจึงทำให้มีความเคลื่อนไหวจาก “มหาดไทย” ในมือเพื่อไทย เตรียมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน

กรณีตั้งคณะกรรมการ 4 คน ขึ้นมาพิจารณาเรื่องของการออกโฉนดใดที่ดินเขากระโดง ว่ามีการดำเนินการที่ถูกต้องตามระเบียบ และแนวปฏิบัติแค่ไหน 

โดยให้ตรวจสอบทั้งคำสั่ง และให้สอบทั้งกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการทั้งหมด เนื่องจากมีผู้ร้องมาที่กระทรวงมหาดไทยว่า การดำเนินการทั้งการออกคำสั่งนั้นไม่ชอบ และคำสั่งของคณะกรรมการฯ ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งถูกแต่งตั้งตามคำสั่งของศาลปกครอง โดยที่มีเอกชนไปอ้างสิทธิ และมีการออกโฉนดนั้น เป็นการดำเนินการที่ขัดกับกฎหมาย และระเบียบแนวปฏิบัติของกรมที่ดิน

หนึ่งในผู้มาร้องเรียน ไม่ใช่ใครที่ไหนคือ “กุสุมาลวตี ศิริโกมุท” อดีต สส.พรรคเพื่อไทย อดีตผู้สมัคร สว.ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ “ก๊กน้ำเงิน” และเคยยื่นเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบกรณี “ฮั้ว สว.” ปะทะคารมฝีปากกับ “เสี่ยหนู-บิ๊กเนมสีน้ำเงิน” มาแล้วก่อนหน้านี้

โดยการตรวจสอบคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิบริเวณเขากระโดงกว่า 5 พันไร่ จะโฟกัสไปที่การกระทำของคณะกรรมการฯ ตามมาตรา 61 ตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินดังกล่าว ลงวันที่ 12 พ.ค.2566 ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ 

ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ พบว่า ที่ดินรถไฟบริเวณเขากระโดง มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งถือเป็น “ที่ดินหลวง” หรือที่ดิน “ของรัฐ” จึงเป็นที่สงวนหวงห้ามตาม พ.ร.บ.จัดวางการรถไฟและทางฯ 2464 ทั้งนี้ กรณีการออกโฉนดที่ดินรถไฟบริเวณเขากระโดง เจ้าพนักงานที่ดินบุรีรัมย์ ดำเนินการโดยใช้มาตรา 60 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ทำการสอบสวนเปรียบเทียบ ระหว่างราษฎรผู้ขอรังวัดออกโฉนด กับเจ้าหน้าที่ รฟท.ผู้มาชี้แนวเขต ซึ่งการสอบสวนเปรียบเทียบนี้ ใช้กับที่ดินของรัฐไม่ได้ คือ จะนำมาใช้กับกรณีโต้แย้งระหว่างราษฎรกับรัฐไม่ได้ เป็นไปตามแนวคำวินิจฉัยคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ 142/2533 และ 960/2538

ดังนั้น การสอบสวนเปรียบเทียบการออกโฉนดที่ดินรถไฟบริเวณเขากระโดง เจ้าพนักงานที่ดินจะบันทึกทำนองว่า “...รฟท.ไม่ขอคัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดินของผู้ร้องในครั้งนี้ แต่สงวนสิทธิ์ที่จะรังวัดสอบเขตที่ดินของ รฟท.ในภายภาคหน้าต่อไป...”

จึงมีการเสนอว่า การออกโฉนดที่ดิน และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ในที่ดินรถไฟเขากระโดง จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย การเพิกถอนโฉนดที่ดิน หรือ น.ส.3 ที่ออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องดำเนินการตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน

ขณะที่คณะกรรมการฯ ตามมาตรา 61 ดังกล่าว ที่ศาลปกครองสั่งให้กรมที่ดินจัดตั้งขึ้นมานั้น พบว่าไม่ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ คือ การดำเนินการสอบสวนพยานหลักฐานให้ได้ความว่ามีการออกโฉนดที่ดินหรือ น.ส.3 ไปโดยคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร

ทั้งที่คณะกรรมการฯ ตามมาตรา 61 จะต้องทำการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด เริ่มตั้งแต่พยานหลักฐาน กระบวนการออกโฉนดที่ดินแต่ละแปลง ซึ่งจะรวบรวมไว้ในแฟ้มสารบบที่ดินแต่ละแปลงอยู่แล้ว แต่คณะกรรมการฯ กลับไม่นำพยานหลักฐานดังกล่าวมาพิจารณา จึงเป็นการรวบรวมพยานหลักฐานไม่ครบถ้วน เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการในการสอบสวน และการพิจารณาเพิกถอนหรือแก้ไขการออกโฉนดที่ดิน หรือมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือการจดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรม หรือการจดแจ้งเอกสารรายการจดทะเบียนโดยคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2553

ประเด็นที่น่าสนใจ หากมีการ “ปัดฝุ่น” รื้อเรื่องนี้ขึ้นมาทำอย่างตรงไปตรงมา ยึดหลักกฎหมาย และบรรทัดฐานคำพิพากษาของศาลฎีกา จะพบว่าที่ดินอย่างน้อย 12 แปลง 288 ไร่เศษ ของ “ตระกูลชิดชอบ-เครือข่าย” จากทั้งหมดกว่า 5 พันไร่ อาจต้องถูกเพิกถอนไปด้วย

โดยเอกสารสิทธิ 12 แปลง 288 ไร่ดังกล่าวนั้น ที่อยู่ในชื่อคนตระกูล “ชิดชอบ” โดยในจำนวนนี้มีการถือครองในชื่อคน และนิติบุคคล รวมถึงปล่อยเช่าให้นิติบุคคล มีนิติบุคคลที่เข้ามาถือครองกรรมสิทธิ์ หรือเช่าที่ดินดังกล่าวต่อจากคน “ตระกูลชิดชอบ” มี 4 บริษัท ได้แก่

1.บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด ถือครอง 5 แปลง ในจำนวนนี้มี 1 แปลงเป็นที่ตั้งของบ้านพักอาศัย “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” น้องชาย “เนวิน ชิดชอบ” ครูใหญ่ “ค่ายน้ำเงิน”

บริษัทแห่งนี้ ทำธุรกิจ “โรงโม่หิน” ถือเป็นธุรกิจหลักของคนตระกูลชิดชอบ ดำเนินการมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยุค “ชัย ชิดชอบ” อดีตนักการเมืองใหญ่ “เมืองเซาะกราว” อดีตประธานรัฐสภา อดีต สส.หลายสมัย ผู้เป็นบิดา อย่างไรก็ดีปัจจุบันไม่มีชื่อคนตระกูล “ชิดชอบ” เข้าไปถือหุ้นแล้ว มีแค่ “เอกราช ชิดชอบ” เป็นหนึ่งในกรรมการบริษัทเท่านั้น

2.บริษัท เค. มอเตอร์สปอร์ต จำกัด ถือครอง 2 แปลง ทำธุรกิจจัดตั้งสนามสำหรับเล่นกีฬา จำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขันกีฬา มีกรรมการ 2 คน นายเนวิน ชิดชอบ นางสาวชิดชนก ชิดชอบ (บุตรสาวนายเนวิน)

3.บริษัท เค 2009 ลิซ จำกัด เช่ามา 4 แปลง เป็นที่ตั้งสนามฟุตบอลช้างอารีนา ทางเข้าสนามแข่งรถ และที่ตั้งตลาด มี นางสาวชิดชนก ชิดชอบ บุตรสาวนายเนวิน เป็นกรรมการคนเดียว

4.บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สปอร์ตโฮเต็ล จำกัด เช่าช่วงต่อจากบริษัท เค 2009 ลิซ จำกัด 1 แปลง เป็นที่ตั้งโรงแรม มีกรรมการ 2 คน นางสาวชิดชนก ชิดชอบ นายประมูลชัย นพสุวรรณวงศ์

อย่างไรก็ดีกระบวนการต่อจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ “ผู้เสียหาย” สามารถยื่นอุทธรณ์ หรือร้องทุกข์ต่อกรมที่ดิน หรือยื่นฟ้องศาลปกครองกลาง เพื่อทวงสิทธิได้ตามกฎหมาย 

อย่างน้อยที่สุดขั้นตอน “เพิกถอน” เอกสารสิทธิ “เขากระโดง” ซึ่งคาราคาซังมาหลายปี ก็ได้เริ่ม “นับหนึ่ง” ตามกระบวนการยุติธรรมเสียที

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์