รองโฆษก ปชน.ซัด 'ทักษิณ' ทำลายหลักการ ผ่าทางตันหรือตอกลิ่มประเทศ

'ลิซ่า' รองโฆษก ปชน.ถามกลับ 'ทักษิณ' โชว์วิชั่นผ่าทางตัน หรือตอกลิ่มประเทศ ซัดคำพูดทำลายทุกหลักการ หวังยื้อเวลาให้รัฐบาลเท่านั้น
KEY
POINTS
- ภคมน หนุนอนันต์ รองโฆษกพรรคประชาชน วิจารณ์บทสัมภาษณ์ของทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นการตอกย้ำแนวคิดการเมืองที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง และไม่ได้เสนอทางออกที่เป็นรูปธรรมให้กับประเทศ
- ชี้ว่าทักษิณมักเป็นผู้เปิดเผยความคืบหน้าโครงการสำคัญของรัฐบาล เช่น แลนด์บริดจ์ ก่อนคนในรัฐบาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอำนาจที่แท้จริงอยู่ที่ใด และบั่นทอนบทบาทของนายกรัฐมนตรี
- ทักษิณไม่ได้พูดถึงการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมหรือการต่อสู้กับ "นิติสงคราม" ทั้งที่พรรคของตนได้รับผลกระทบโดยตรง และยังแสดงท่าทีที่ทำลายหลักการของระบอบรัฐสภา
- สรุปว่าการปรากฏตัวของนายทักษิณไม่ใช่การ "ผ่าทางตัน" แต่เป็นการ "ตอกลิ่ม" ให้ประเทศจมอยู่กับปัญหาเดิม คือการเมืองที่ยึดติดกับตัวบุคคลมากกว่าระบบ
เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2568 น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ รองโฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) แสดงความเห็นถึงการให้สัมภาษณ์ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านเวทีแสดงวิสัยทัศน์ของเครือเนชั่น เมื่อ 9 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ฟังจบ 2 รอบ ขอแสดงความเห็นสักหน่อย จนถึงวันนี้ดิฉันคิดว่า ไม่มีใครตั้งคำถามแล้ว ว่าคุณทักษิณออกมาแสดงวิสัยทัศน์การบริหารประเทศในฐานะอะไร มีแต่คนเขารอฟังซะด้วยซ้ำ เพราะนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีผู้ปฏิบัติงานจริงไม่เคยสามารถแสดงวิสัยทัศน์ได้ทะลุปรุโปร่งเลยในหลายวาระที่คนในประเทศต้องการ มีแต่จะรอฟังคุณทักษิณ และก็ต้องยอมรับว่า ตั้งแต่ นายกฯ แพทองธาร รับตำแหน่ง การปรากฏตัวของคุณทักษิณทุกครั้งมักมาพร้อมกับ Hidden agenda เสมอ
น.ส.ภคมน ระบุว่า ดิฉันจำได้ว่าในการอภิปรายนโยบายของรัฐบาลอิ๊งค์ 1 ดิฉันต้องอภิปรายเมกะโปรเจกต์อย่างแลนด์บริดจ์ ให้ตายเถอะ ในการทำข้อมูลพยายามค้นทุกข่าว อ่านทุกรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่รู้ความคืบหน้าอะไรเลย จนกระทั่งบนเวทีแสดงวิสัยทัศน์ที่คุณทักษิณออกมาเปิดเผยว่าโครงการแลนด์บริดจ์ได้มีการเจรจากับนักลงทุนต่างชาติแล้ว แต่เขาสนใจลงทุนเพียงขาเดียว ซึ่งนี่เป็นความคืบหน้าเดียวที่เราไม่เคยรู้จากคนที่มีตำแหน่งในรัฐบาล หรือแม้กระทั่งเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ คนที่เปิดเผยคนแรกก็คือคุณทักษิณอีกเช่นกัน
ดังนั้น การปรากฏตัวหลังสถานการณ์ฝุ่นตลบทางการเมืองครั้งนี้ ดิฉันคิดว่า คนส่วนใหญ่ก็เฝ้ารอฟังยุทธศาสตร์การพาประเทศฝ่าทางตันจากพ่อนายกรัฐมนตรี แต่กลับกลายเป็นว่าเวทีนี้เราไม่เห็นยุทธศาสตร์อะไรเลย นอกจากได้เห็นตัวตนของคุณทักษิณที่ชัดเจน และตอกย้ำว่า คุณทักษิณไม่เปลี่ยนการมองและการบริหารประเทศแบบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางเลย ประเทศไทยยังคงหมุนรอบตัวคุณทักษิณ
ย้ำว่าไม่ใช่หมุนรอบตระกูลชินวัตร แต่เป็นการหมุนรอบตัวคุณทักษิณคนเดียว เพราะทุกคำที่พูดออกมา ไม่มีช่วงไหนเลยที่เป็นการนำเสนอศักยภาพของคุณแพทองธารให้ประชาชนได้มั่นใจ ยิ่งพูดยิ่งเล่ายิ่งเห็นว่าคุณแพทองธาร ไม่มีความสามารถที่จะเป็นนายกฯได้เลย สิ่งที่คุณทักษิณพูดบนเวทีถึงคุณแพทองธารเป็นบทบาทของ “ปลัดประเทศ” ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี
บอกตรง ๆ ว่าตลอดที่ดูการสัมภาษณ์เกือบ 2 ชั่วโมงเราอยากฟังวิสัยทัศน์ยาวๆ และสิ่งที่ได้คือการตอบสั้น ๆ กั๊ก ๆ ตามสไตส์ผู้เก๋าเกมทางการเมืองที่ การพยายามแสดงตัวว่า “อั๊วะเอาอยู่อย่าตีโพยตีพาย”
ทั้งที่วันนี้ ดิฉันเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศเขาอยากได้ยินว่ารัฐบาลจะฝ่าวิกฤติชายแดนได้อย่างไร ประเทศไทยจะมีทางออกต่อกำแพงภาษีของสหรัฐอย่างไร แต่เราไม่ได้ยินคำอธิบายที่เป็นยุทธศาสตร์แบบแผนเลย สิ่งที่ได้ฟังมีแต่บอกว่า “ผมอยู่ตรงนี้อย่าตกใจ ผมอยู่ตรงนี้ ผมเอาอยู่ ผมไม่โง่” อะไรทำนองนี้ตลอดการสัมภาษณ์
ถ้าดิฉันจะตั้งคำถามในฐานะประชาชนคนหนึ่งว่า แล้วถ้าประเทศไทยไม่มีคุณทักษิณล่ะ จะไปอย่างไรต่อได้? ทำไมคนที่อ้างมาตลอดว่าหวังดีกับชาติบ้านเมือง ไม่พยายามที่จะสร้างระบบ ที่ส่งต่อไปสู่การพัฒนาได้ หากวันที่คุณทักษิณวางมือทางการเมือง และที่ชัดเจนที่สุดในการสัมภาษณ์ครั้งนี้คือ เราเห็นการแสดงตัวเพื่อยืนยันกับผู้ออกใบอนุญาตว่า “ผมยังอยู่ตรงนี้ ข้อตกลงที่ให้กันไว้ยังคงยืนยันจะปฏิบัติ อย่าให้ใครมาแทนที่” ถึงขนาดที่มานั่งผสมสีบนเวที สิ่งที่พูดออกมาว่าน่าผิดหวังแล้ว สิ่งที่ไม่ได้พูดยิ่งน่าผิดหวังยิ่งกว่า
คุณทักษิณไม่แม้แต่จะพูดถึง “นิติสงคราม” ในเชิงวิพากษ์หลักการทั้งที่วันนี้ เวลาเพียง 2 ปี พรรคเพื่อไทยโดนนิติสงครามเล่นงานนายกรัฐมนตรีไปแล้วถึง 2 คน ชะตากรรมที่เกิดกับพรรคเพื่อไทย ไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำแต่คุณทักษิณยังไม่กล้าแม้จะยืนยันหลักการและไม่ได้พูดถึงการสร้างระบบการเมืองที่เข้มแข็ง เพื่อที่ประเทศจะได้ไม่ต้องพึ่งพา “ซูเปอร์แมน” เขาไม่ได้พูดถึงการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้เท่าเทียม เพื่อที่ทุกคนจะอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน และเขาไม่ได้พูดถึงการสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่เคารพความเห็นต่าง เพื่อลดความขัดแย้งในระยะยาว หนำซ้ำยังกลับแสดงออกถึงวิธีคิดที่ทำลายระบอบรัฐสภาผ่านเนื้อเพลงว่า “ฉันเปล่าชวนนะ เขามาเอง” พร้อมทำลายทุกหลักการเพื่อยืดลมหายใจของรัฐบาล ไม่มีความพยามจะสร้างระบบแถมยังไม่เชื่อในระบอบ
ท้ายที่สุดแล้ว การขึ้นเวทีของคุณทักษิณ ไม่ใช่การ “ผ่าทางตัน” ให้กับประเทศไทย แต่กลับเป็นการ “ตอกลิ่มประเทศ” ให้จมอยู่กับวังวนของปัญหาเดิม ๆ นั่นคือ การยึดติดกับตัวบุคคลมากกว่าระบอบ
ในฐานะคนที่ยังมีความหวังในประเทศนี้ยังอยากเห็นสังคมนี้เป็นของพวกเราคนธรรมดาทุกคน การทำการเมืองแบบนี้ สำหรับดิฉัน ไม่ใช่การเมืองที่หวังดีกับประเทศการเมืองแบบที่ต้องมีตัวเองอยู่ในทุกสมการ ไม่ใช่การเข้ามาเปลี่ยนประเทศ และพร้อมจะส่งต่อสังคมให้คนอื่นแต่คือการทำการเมืองแบบที่มองประเทศนี้เป็น “รัฐสมบัติ” (ตัวเอง)
ข้อมูลจาก: Pukkamon Nunarnan - ภคมน ลิซ่า หนุนอนันต์







