ล้างบาง ‘เครือข่ายสีน้ำเงิน’ รื้อมหาดไทย วางกลไก 'สีแดง'

ล้างบาง ‘เครือข่ายสีน้ำเงิน’ รื้อมหาดไทย วางกลไก 'สีแดง'

ต้องจับตาการขับเคลื่อนการเมืองของ “นายใหญ่” จะใช้กลไก “มหาดไทย” ฟื้นคะแนนนิยมของ “เพื่อไทย” และการจัดวางเครือข่าย เพื่อต่อยอดการเมืองได้มากน้อยแค่ไหน

KEY

POINTS

  • ภูมิธรรม เวชยชัย รมว.มหาดไทย ดำเนินการย้ายข้าราชการระดับสูงที่เชื่อมโยงกับ "เครือข่ายสีน้ำเงิน" หรือกลุ่มบ้านใหญ่บุรีรัมย์ออกจากตำแหน่งสำคัญ
  • มีการแต่งตั้งบุคคลที่ไว้วางใจจาก "ค่ายสีแดง" เข้ามาดำรงตำแหน่งหลักแทน เช่น อธิบดีกรมการปกครอง และอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เพื่อควบคุมกลไกของกระทรวง
  • ปฏิบัติการนี้ถูกมองว่าเป็นการล้างบางเครือข่ายอำนาจเก่าของขั้วการเมืองเดิม และสร้างฐานอำนาจใหม่ของรัฐบาลปัจจุบัน
  • มีการคาดการณ์ว่าการโยกย้ายจะยังคงดำเนินต่อไป โดยมีเป้าหมายที่ตำแหน่งปลัดกระทรวง และอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทที่ดินของแกนนำเครือข่ายสีน้ำเงิน
  • เป้าหมายระยะยาวของการปรับเปลี่ยนโครงสร้างครั้งนี้ คือ การใช้เครือข่ายของกระทรวงมหาดไทย เพื่อเสริมสร้างคะแนนนิยมให้แก่พรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

 

 

นั่งเก้าอี้ “เบอร์หนึ่งมหาดไทย” ได้เพียง 1 สัปดาห์ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกฯ ไม่รอช้า เปิดหัวฟัน “บิ๊กคลองหลอด” ที่เติบโตมาจากสายบังคับบัญชา “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” ทันที

ปฏิบัติการเฉียบขาด ไล่ต้อนเครือข่ายศัตรู ส่งสัญญาณภารกิจ “ภูมิธรรม” มีแต่แก้แค้นไม่แก้ไข ไม่ว่าจะเหลืออายุราชการน้อยเดือน น้อยปี ก็ไม่มีความปราณี หากจัดอยู่ใน “เครือข่ายสีน้ำเงิน” เตรียมถูกเช็กบิลทุกคน

รายของ “ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์” ถูกย้ายจากอธิบดีกรมปกครอง เป็นผู้ตรวจฯ แม้จะเหลืออายุราชการเพียง 2 เดือน โดยจะเกษียณอายุราชการ ต.ค.2568 เนื่องจากเจ้าตัวเป็นเด็กสายตรง “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” เคยนั่งผู้ว่าฯ บุรีรัมย์

เช่นเดียวกับ “นฤชา โฆษาศิวิไลซ์” ถูกย้ายจากอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นผู้ตรวจฯ เติบโตจากฐานอำนาจของ “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” เคยเป็นปลัดจังหวัดบุรีรัมย์ ผู้ว่าฯ บึงกาฬ และย้ายมาเป็นผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ช่วงปี 2567 คล้อยหลังแค่ 1 ปี ถูกเรียกให้มารับตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

ขณะเดียวกัน “บิ๊กอ้วน” เลือกคนรู้ใจ “ตระกูลชินวัตร” เข้าวิธีการทำงานของ “พรรคเพื่อไทย” เข้าไปยึดหัวหาด เพื่อควบคุมกลไก “มหาดไทย” เอาไว้

โดยโยก “นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร” ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ มานั่งอธิบดีกรมการปกครอง เขาเติบโตตามสายงานคลองหลอดมาตามลำดับ ก่อนจะนั่งผู้ว่าฯ บึงกาฬ ผู้ว่าฯ อุดรธานี ก่อนจะมานั่งรองปลัดมหาดไทย ปี 2563

มีกระแสข่าวว่าเมื่อปี 2567 “นิรัตน์” ได้รับการโปรโมตจาก “นายใหญ่” ให้ขึ้นชั้น “อธิบดี” โดยส่งโนติสไปยัง “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล แต่ “ครูใหญ่” เนวิน ชิดชอบ ตีตก ก่อนจะมาสมหวัง หลัง “อำนาจมหาดไทย” เปลี่ยนมือมาอยู่ที่ “ค่ายสีแดง”

ขณะเดียวกันโยก “ร.ต.ท.ภพชนก ชลานุเคราะห์” ผู้ว่าฯ เพชรบุรี มานั่งอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น “ภพชนก” มาจากเป็นสิงห์ดำ นั่งรองผู้ว่าฯ ลพบุรี ปี 2563 และปี 2564 ขึ้นเป็นรองอธิบดีกรมการปกครอง ก่อนจะย้ายไปเป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี

ปฏิบัติการสอย 2 สายตรง “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” เพื่อตัดตอนฐานอำนาจของ “เครือข่ายสีน้ำเงิน” ไม่ได้จบเพียงเท่านี้ เนื่องจาก “เครือข่ายคลองหลอด” ในมือ “อนุทิน” 2 ปี และในมือ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อีก 8 ปี “เครือข่ายสีแดง” แทบไม่เหลือ

“นายใหญ่ - ภูมิธรรม” จึงต้องล้างบางกันอีกหลายยก เพื่อเปลี่ยน “คลองหลอดสีน้ำเงิน” ย้อมสีให้กลายเป็นมา “คลองหลอดสีแดง” อย่างสมบูรณ์แบบ

เป้าหมายต่อไป ล็อกไปที่เบอร์หนึ่ง “ปลัดป็อป” อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดมหาดไทย ซึ่งอายุราชการถึงปี 2574 แม้ที่ผ่านมา “อรรษิษฐ์” พยายามทอดสัมพันธ์ไปที่ “บิ๊กอ้วน” ก่อนมานั่งเก้าอี้ รมว.มหาดไทย 

ว่ากันว่า โผโยกย้ายระดับปลัดอำเภอ หากส่งผ่านมาจาก “ทีมบิ๊ก อ.” แม้จะต้องสู้รบกับ “บิ๊กสีน้ำเงิน” ถึงขั้นเกือบแตกหัก แต่ “ปลัด ป.” ดันสำเร็จในนาทีสุดท้าย ก็แทบไม่ตกสำรวจ แม้แต่คนเดียว

ทว่า ประกาศิตของ “นายใหญ่” สั่งล้างบางเครือข่ายสีน้ำเงิน โอกาสที่ “ปลัดป็อป” จะอยู่รอด มีน้อยมาก เนื่องจากที่ผ่านมา มักปรากฏตัวตามติดทุกภารกิจของ “อนุทิน” จนถูกมองเป็น “เบอร์หนึ่งข้าราชการสีน้ำเงิน” ไปแล้ว

มีกระแสข่าวว่า หาก “นายใหญ่” พอจะปรานีอยู่บ้าง “ปลัดป็อป” อาจต้องโยกไปนั่งเก้าอี้ “ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” แทน “ปลัดตุ๋ม” จตุพร บุรุษพัฒน์ ที่ขึ้นชั้น รมว.พาณิชย์

อีกสูตร อาจจะรอให้ “ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร” ปลัดสำนักนักนายกรัฐมนตรี เกษียณอายุราชการในเดือนต.ค.2568 และค่อยโยก “ปลัดป็อป” ไปเสียบแทน

สำหรับระดับอธิบดีที่เหลืออีก 4 คน ต่างก็ลุ้นว่า จะเจอใบสั่งย้ายในห้วงเวลาใด โดยเฉพาะ “พรพจน์ เพ็ญพาส” อธิบดีกรมที่ดิน สายตรงบ้านใหญ่บุรีรัมย์ เมื่อที่ดิน “เขากระโดง” ฐานที่มั่นใหญ่ของ “เนวิน” ตกเป็นข้อพิพาทระหว่าง “กรมที่ดิน” กับ “รฟท.”

ดังนั้นถึงเวลาที่ “นายใหญ่” จะชำแหละแค้น “ครูใหญ่” การยึด “เขากระโดง” กลับมาเป็นของหลวง จึงเป็นภารกิจสำคัญ ชื่อของ “พรพจน์” จึงถูกคาดหมายว่า จะเป็นรายต่อไปที่จะถูดเด้งพ้นตำแหน่ง

ต้องจับตาว่า มือดีที่จะมานั่งเก้าอี้ “อธิบดีกรมที่ดิน” คนต่อไปคือใคร - สายไหน เพราะนอกจากยึดคืนที่ดิน “เขากระโดง” แล้ว อาจจะต้องวางเกณฑ์ในการเช่าที่ดิน หากต้องการทำประโยชน์จากที่ดิน พร้อมทั้งกำหนดเกณฑ์เรียกค่าเช่าย้อนหลัง กรณีการเข้าถือครองที่ดินไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

รวมไปถึงเช็กบิลการถือครองที่ดินของ “เครือข่ายสีน้ำเงิน” ที่อาจจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย โฟกัสหลักสนามกอล์ฟ แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ต แอนด์ คันทรี คลับ ของ “ตระกูลชาญวีรกูล” ซึ่งอาจจะมีพื้นที่ทับซ้อนที่ดิน ส.ป.ก. รวมอยู่ด้วย

ขณะเดียวกันชื่อของ “สยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน “ภาสกร บุญญลักษม์” อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย “พงษ์นรา เย็นยิ่ง” อธิบดีกรมโยธาธิการ และผังเมือง ซึ่งเติบโตในยุคของ “อนุทิน-ครูใหญ่” มีโอกาสโดนสอยไม่ต่างกัน

การล้างบาง “เครือข่ายสีน้ำเงิน” วางรากฐาน “เครือข่ายสีแดง” เพราะ “นายใหญ่” มองข้ามช็อตไปที่การเลือกตั้งครั้งหน้า เนื่องจาก “พรรคเพื่อไทย” กระแสลดน้อยถอยลง และจำเป็นต้องใช้ “เครือข่ายข้าราชการ - เครือข่ายท้องถิ่น” เป็นกลไก 

หลังจากนี้ ต้องจับตาการขับเคลื่อนการเมืองของ “นายใหญ่” จะใช้กลไก “มหาดไทย” ฟื้นคะแนนนิยมของ “เพื่อไทย” และการจัดวางเครือข่าย เพื่อต่อยอดการเมืองได้มากน้อยแค่ไหน

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์