หลักฐานชัด! 'โรม' แฉนักการเมืองไทยเกิน 7 คน ดอดเปิดบัญชีในกัมพูชา

'โรม' ยันมีหลักฐานชัด แฉ 'นักการเมืองไทย' เปิดบัญชีในกัมพูชา มีมากกว่า 7 คน ชี้รัฐบาลที่มีความชอบธรรม-มั่นคง มีผลเรื่องเจรจาปัญหาชายแดน
KEY
POINTS
- รังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน เปิดเผยว่ามีหลักฐานชัดเจนว่ามีนักการเมืองไทยมากกว่า 7 คนไปเปิดบัญชีธนาคารในประเทศกัมพูชา
- การเปิดเผยนี้เกิดขึ้นระหว่างการลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ อ.อรัญประเทศ เพื่อตรวจสอบปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และมาตรการเปิด-ปิดด่าน
- ปัญหาความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาเป็นอุปสรรคสำคัญในการเจรจาแก้ไขปัญหาร่วมกัน
- ประเด็นนักการเมืองเปิดบัญชีมีความเชื่อมโยงกับปัญหาความมั่นคงและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์และการค้าชายแดนของทั้งสองประเทศ
เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568 ที่จุดผ่านแดนบ้านคลองลึก คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร นำโดยนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) และคณะ ลงพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 โดยวันนี้ เดินทางมาที่ด่านพรมแดนคลองลึก เพื่อดูมาตรการการเปิด-ปิดด่านไทย-กัมพูชา
นายรังสิมันต์ กล่าวตอนหนึ่งถึงบรรยากาศการเมืองไทยขณะนี้ ว่า มีเรื่องความชอบธรรมของรัฐบาลหรือการที่เราจะมีรัฐบาลที่มั่นคงกว่านี้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเจรจา ดังนั้นจึงมีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเจรจา และต้องยอมรับว่าผู้มีอำนาจในกัมพูชาดูการเมืองไทยและติดตามการเมืองไทยอย่างละเอียด เขาคงจะประเมินและหาจังหวะที่จะทำให้ตัวเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ
ยืนยันได้ว่าเรื่องของการที่นักการเมืองไทยไปเปิดบัญชีในกัมพูชาตอนนี้น่าจะมีมากกว่า 7 คน มีหลักฐานชัดเจน
นายรังสิมันต์ กล่าวถึงปัญหาคอลเซ็นเตอร์ ว่า เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะยอมได้ จึงต้องหามาตรการในการแก้ปัญหา มีหลายวิธีโดยดูกรณีของไทย-เมียนมา เรามีความร่วมมือกับจีน เช่นเดียวกันกับกรณีไทย-กัมพูชา จะต้องร่วมมือกับประเทศอื่นในการแก้ไขเรื่องนี้ โดยข้อเรียกร้องของประชาชนคือ การปิดด่านไม่ได้แก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์ ดังนั้นรัฐบาลจะต้องพิจารณาว่าการปิดด่านกับการแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์จะจัดวางกันอย่างไร เพราะสุดท้ายจะทำให้เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศมีปัญหา จึงต้องแฟร์ ๆ ทำอย่างไรให้มีการเจรจาระหว่างสองประเทศถือเป็นความท้าทายของประเทศเราในเวลานี้
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาคอลเซนเตอร์และสแกมเมอร์ ที่ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา การปิดด่านไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา เพราะขบวนการเหล่านี้ มีการเตรียมความพร้อม แทบไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่คนที่ได้รับผลกระทบคือประชาชนที่ทำมาหากินสุจริต ขณะที่ความไม่ปลอดภัย เรามีเอกอัครราชทูต หากมีปัญหาคนให้เอกอัครราชทูตทำงานก่อน แต่หากจะเสี่ยงเกิดสงครามค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ประชาชน ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และหากจะทำอะไรต้องแจ้งประชาชนล่วงหน้า เพื่อให้เตรียมความพร้อม
นายรังสิมันต์ กล่าวถึงประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาขณะนี้ ว่า พันกันอยู่หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล และการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะทำอย่างไรที่คลี่คลายได้ถือว่ายังเป็นโจทย์อยู่ เชื่อว่าถ้าคลี่คลายเรื่องนี้ได้จะทำให้หลายปัญหาแก้ได้ เพราะเมื่อการค้าขายระหว่างไทย-กัมพูชา เกิดขึ้นไม่ได้ก็ส่งผลกระทบต่อทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเฉพาะคนอรัญประเทศและคนสระแก้วเท่านั้น แต่ผลกระทบขยายวง ทั้งนี้หากคลี่คลายปมปัญหาเหล่านี้ได้จะเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งทั้งสองประเทศ
เมื่อถามถึงการเจรจาให้กัมพูชาเปิดด่าน นายรังสิมันต์ กล่าวว่า จะต้องมีการพูดคุย แต่เรามีข้อจำกัดคือภาพของรัฐบาลที่มีทั้งเรื่องคลิปเสียงหลุด และความสัมพันธ์ส่วนตัว ทำให้การเจรจาเพื่อเปิดด่านการร่วมกันยากขึ้นเรื่อย ๆ หากเราฟังจากคลิปเสียงหลุด กัมพูชาบอกให้ไทยเปิดก่อน แต่ความจริงไทยเปิดอยู่ แต่เขาคงหมายถึงการเปิดเป็นเวลาเหมือนเดิมและไม่มีการจำกัดการเข้าออกของคน เพราะแนวทางที่รัฐบาลและทีมไทยแลนด์ใช้คือ การควบคุมคน ป้องกันไม่ให้คนที่ไปเป็นคอลเซ็นเตอร์หรือกาสิโนสามารถเข้าออกได้โดยง่าย ซึ่งเป็นธงที่รัฐบาลพยายามทำ
"ประเด็นคือกัมพูชาอยากให้เปิดด่านเหมือนเดิม เพราะธุรกิจคอลเซ็นเตอร์เป็นธุรกิจหลัก แต่วันนี้กัมพูชาวัดใจด้วยการปิดด่านทั้งหมดเพื่อทำให้เศรษฐกิจของไทยได้รับความเสียหาย ซึ่งเขาก็ได้รับความเสียหาย แต่เขาไม่แคร์เรื่องเหล่านั้น ดังนั้น เมื่อจะกลับมาเปิดด่านใหม่สิ่งที่รัฐบาลต้องคิดมี 2 อย่าง 1.มาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 2.การเปิดด่าานไม่ควรใครเปิดก่อน แต่ควรเปิดพร้อมกัน โดยก่อนจะตกลงกันได้ทั้งสองฝ่ายต้องยอมรับในข้อตกลง แต่ตอนนี้ยังติดปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลที่เป็นลักษณะของศัตรูกัน การเจรจาในขั้นนั้นจึงมีปัญหาอยู่" นายรังสิมันต์ กล่าว







